True Martial World บทที่ 3 หากเราเป็นยอดยุทธไร้เทียมทาน

ก่อนที่จะตาม เจียงเเสี่ยวโหรวมา อี้หยุนไม่เคยคาดหวังว่า“บ้าน”จะมีลักษณะเช่นนี้

ตอนแรกที่เขาเห็นนักดาบที่ขี่สัตว์ร้าย เขาเดาว่านี่เป็นโลกที่เต็มไปด้วย เหล่าผู้เยี่ยมยุทธจากสำนักใหญ่ๆ หากวันหนึ่ง เขาได้เข้าสำนักใหญ่หรือนิกายได้เรียนรู้วิทยายุทธ แม้เขาไร้ความสามารถ ก็ยังสามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องกังวล

แต่..เมื่อเห็นบ้านโกโรโกโส ที่อยู่ตรงหน้า

อี้หยุนแทบทรุด

ในอดีต อี้หยุนเคยไปเที่ยวหมู่บ้านชนบท บ้านที่เห็นยังดีกว่า บ้านที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้....นี่มันกระต๊อบชัดๆ ทำจากหินและโคลน นอกจากโต๊ะ เก้าอี้สองตัวเตียงเก่าๆสองหลัง และเตา ก็ไม่มีอย่างอื่นเลย

เจียงเเสี่ยวโหรว แบกอี้หยุนเข้าไปในบ้าน อี้หยุนไม่คุ้นกับการถูกเด็กสาวคนหนึ่งแบก เขาพยายามที่จะลงสองสามครั้ง แต่ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป เพียงทำไม่กี่ครั้งก็เหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่งก็ต้องกลับไปให้เจียงเเสี่ยวโหรวแบกอีกครั้ง เขารู้สึกอับอาย ที่ชายหนุ่มอย่างเขาต้องมาถูกแบกโดยเด็กสาวเช่นนี้

“หยุนเอ๋อร์ เจ้าคงจะหิวแล้ว...”

เจียงเเสี่ยวโหรวพูดขณะวางอี้หยุนลงบนเตียงไม้หลังหนึ่ง แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อย แต่ใบหน้าของเธอกับสดใสมีชีวิตชีวา มันก็เป็นธรรมดาที่เธอจะมีความสุขก็น้องชายของเธอฟื้นจากความตายมาได้นี่

อี้หยุนมองดูเสื้อผ้าชื้นเหงื่อของเจียงเเสี่ยวโหรว แม้ว่าร่างกายของเขาจะผอมบาง แต่การเดินทางอย่างน้อย 3-4 ไมล์ เจียงเเสี่ยวโหรวเองก็อายุแค่สิบห้าปี ต้องแบกเขาเป็นระยะๆ มันไม่ง่ายเลย

หากสาววัยสิบห้าจากโลกปัจจุบัน เดินตัวเปล่า 3-5 ไมล์ ก็ต้องเหนื่อยอย่างมากไม่ต้องพูดถึงเมื่อต้องแบกบางคนด้วยแล้ว

“อือ…...อ….อ นิดหน่อย” อี้หยุน ขยับริมฝีปากที่แห้งผากของเขา

นี่เป็นคำแรกที่ออกจากปาก ตั้งแต่โผล่มาที่โลกใบนี้

ตอนแรกเขาคิดว่าการใช้ภาษาของที่นี่จะเป็นเรื่องยากและเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ แต่ก็น่าประหลาดเขากลับใช้มันได้ราวกับใช้มันมาตั้งแต่เกิด

“ข้าจะไปเตรียมอาหาร” เจียงเเสี่ยวโหรว กล่าวด้วยรอยยิ้ม

เธอค่อยๆเช็ดโคลนออกจากใบหน้าของอี้หยุนอย่างเบามือ

ก่อนที่จะดึงหมอนให้อี้หยุนหนุน แล้วห่มผ้าห่มบางๆให้เขา เธอดูแลเขาอย่างคล่องแคล่วอ่อนโยน จนอี้หยุนเหมือนตกอยู่ในภวังค์ หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่พี่สาวของเขา แต่จากการปฏิบัติอย่างอ่อนโยนของเธอ ทำให้ความรู้สึกของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ

อี้หยุนต้องการช่วยเธอติดไฟในเตา แต่เธอยืนกรานให้เขานอนพักผ่อน

“เจ้ายังป่วย ต้องพักฟื้นจะได้ไม่เป็นหวัด นอนซะ เดี๋ยวพี่ก็กลับมา”

เจียงเเสี่ยวโหรวพูด ขณะที่เธอหยิบถุงใส่เมล็ดข้าวที่เกือบว่างเปล่าขึ้นมา

สิบห้านาทีต่อมา เจียงเเสี่ยวโหรว วางโต๊ะไม้หักๆลงหน้าเตียงบนโต๊ะมีชามใหญ่ใส่โจ๊กผลไม้ป่าไม่ทราบชนิดสองอย่าง กับชามผักป่าต้ม

อี้หยุนไม่ได้กินอะไรมานาน ท้องเขาร้องทันทีที่เห็นอาหาร เขาอยากให้เป็นหมู ไก่ย่าง หรือเป็ด ไก่ แค่คิดถึงมันท้องเขาก็ปั่นป่วน

ผมจะกินของเหล่านี้ได้อย่างไร?

เขาซดโจ๊กลงไปคำใหญ่ ท้องอันว่างเปล่าทำให้เขาหิวมาก เขากินโจ๊กและผักต้มลงไป ผักต้ม ขมจนแม้เขาจะหิวมากก็แทบฝืนกลืนลงไปไม่ได้

ขณะที่อี้หยุนมีปัญหากับเจ้าผักต้มแสนห่วย เขาสังเกตเห็นว่าเจียงเเสี่ยวโหรว กำลังมองเขากินอยู่ โดยเธอยังไม่ได้กิน เขาถามด้วยความสงสัย

“ทำไมท่านไม่กินล่ะ?”

“ข้ากินแล้วก่อนที่จะไปเจอเจ้า”

เจียงเเสี่ยวโหรวพูดตะกุกตะกักด้วยความอึดอัด อี้หยุนชะงักไปชั่วครู่ เขาจำได้ว่าเจียงเเสี่ยวโหรว อยู่ที่สุสานประมาณ 3 ชั่วโมงตลอดบ่าย

แล้วเธอจะกินอะไรแล้วได้ไง?

ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา แม้อาหารเช่นนี้ก็หาไม่ได้ง่ายเลยหรือนี่เป็นโลกของผู้เข้มแข็งที่ขี่สัตว์ร้ายได้ แล้วยังมีคนอดอยากหิวโหย?

อี้หยุนผลักชามโจ๊กไปข้างหน้าแล้วลุกไปดูถุงข้าวที่อยู่มุมบ้าน คาดว่าถุงข้าวนั้นว่างเปล่าแล้ว เขาตระหนักว่า เเสี่ยวโหรวพยายามเตรียมโจ๊กให้เขา แม้จะมีปริมาณที่น้อยมาก เพราะว่าการฟื้นคืนชีพ เจียงเเสี่ยวโหรว จึงปรุงมันเพื่อ “รักษาเยียวยาเขา”

“ข้าอิ่มแล้ว เจ้ากินเถอะ” อี้หยุนพูดขณะผลักชามโจ๊กไปให้

เจียงเเสี่ยวโหรว เขากินอะไรไม่ลงแล้ว เขาไม่อาจยอมรับได้ ที่หญิงสาวคนหนึ่ง ต้องมาอดอาหารเพื่อให้เขาได้กิน

ความเสียใจปรากฏในใจเขา หากเพียงเขากลับไปโลกเดิมได้และ หากไม่เป็นเช่นนั้น เขาก็ต้องการฝึกฝนจนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ แต่ดูจากสภาพนี้ แค่อยู่รอดก็ยังเป็นปัญหา เขาอาจอดตายเสียก่อนที่จะได้ทำอะไร

“ข้าไม่หิว” เจียงเเสี่ยวโหรวบอกปัด

“พรุ่งนี้เป็นวันปันส่วนอาหาร ข้าจะเตรียมในส่วนของเจ้าให้”

ใบหน้าของเจียงเเสี่ยวโหรว มีรอยขัดเขิน เมื่อเธอพูดถึงการปันส่วนอาหาร เห็นชัดว่าเธอคาดหวังกับมันไว้สูง

อี้หยุนยังเงียบ อยู่บนโลกที่เขารู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องยาก เมื่อเทียบกับโลกที่เคยอยู่ที่นั่นคงเป็นยิ่งกว่าสวรรค์ ความอดอยากหิวโหย….เป็นเรื่องอยากเข็ญต่อการใช้ชีวิตจริงๆ

เป็นเรื่องทรมานอย่างแท้จริง ที่ต้องทนกับความหิวโหย

ตอนกลางดึก สายลมพัดอ่อนๆ อี้หยุนยังตื่นอยู่ เขานอนอยู่บนเตียงอาบไล้แสงจันทร์ เขาจับผลึกม่วงปริศนาอันนั้น พลิกไปมาเป็นเพราะมันทำให้เขาสามารถออกมาจากภูเขาที่ถล่มนั้นได้ คริสตัลการ์ดเล็กๆอันเดียว เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า หากว่าเขารู้ที่จะใช้ประโยชน์จากมัน ในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายสำหรับคนปกติ

เมื่อคิดถึงชายวัยกลางคนที่ขี่สัตว์ร้ายผู้เปี่ยมไปด้วยพลังบงการเทียบกับความยากไร้ของชาวบ้าน มันแตกต่างกันเหมือนสวรรค์กับโลก

“หากผมกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ ผมจะเป็นอิสระ อย่างน้อยก็ไม่ต้องอดตาย...”

อี้หยุนสัมผัสท้อง ในขณะที่นึกถึงอาหารค่ำที่ผ่าน เขาสามารถแบ่งอาหารให้เจียงเเสี่ยวโหรวได้ แต่ตอนนี้เขาเป็นเด็กที่กำลังโต โจ๊กที่ได้รับย่อยไปนานแล้ว ความหิวกลับมาอีกครั้ง ขณะที่รู้สึกถึงท้องอันว่างเปล่า เขาสัมผัสถึงความเย็นอันไหลรื่นที่แผ่จากผลึกม่วงในมือ...

จู่ๆอี้หยุนก็สังเกตเห็นบางอย่าง เขาผุดลุกขึ้นจากเตียง ในขณะที่จ้องผลึกม่วง รอยยิ้มอย่างพึงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า เมื่อตรวจดูอย่างละเอียด เขาพบว่ามีจุดเรืองแสงเล็กๆ รายล้อมผลึกม่วง

จุดเรืองแสงมาจากไหน?

มันค่อยๆหายไปในผลึกม่วง หรือว่า ผลึกม่วงดูดซับมันไว้ กระบวนการนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ผลึกม่วงค่อยๆเรืองแสงมากขึ้นเรื่อยๆ

นี่หมายความว่า?

การค้นพบทำให้ลมหายใจของอี้หยุนกระชั้นถี่ ตอนนี้ผลึกม่วงเปล่งแสงมากขึ้น เขารู้สึกถึงความเย็นที่เพิ่มขึ้นของผลึกม่วง

ความเย็นแผ่ไปสู่แขนขาของเขาอย่างแยบยล แสงมหัศจรรย์นั้นชำระล้างร่างกายของเขา มันทำให้เขาสดชื่นมีชีวิตชีวา

อี้หยุนจำความรู้สึกนี้ได้ ตอนที่เขากำลังขุดอุโมงค์หาทางออกจากถ้ำ เมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก เขาก็จะรู้สึกถึงความเย็นแบบนี้

เมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกว่าร่างกายกำลังจะหมดสภาพ มันก็จะให้พลังวังชาแก่เขา อี้หยุนรู้ดีว่าสำหรับคนเป็นๆ มันเป็นพลังงานที่มีผลต่อร่างกาย ใช้ยืดชีวิต โดยไม่ต้องกินอาหาร

มีคุณค่าทางโภชนาการหรือเปล่านะ?

ในธรรมชาติไม่มีแหล่งพลังงานอะไรที่จ่ายให้ในสภาวะอดอยาก การขุดอุโมงค์อันยาวไกลโดยไม่ได้กินหรือดื่มเป็นวันๆ และต้องใช้แรงงานอย่างมาก จำเป็นที่จะต้องมีแหล่งพลังงาน ความเย็นที่ได้รับจากผลึกม่วง ให้พลังชีวิตแก่เขา

เมื่อกลับไปคิดให้ดีแล้ว ตอนเขาพบผลึกม่วงในถ้ำมันเปล่งแสงเรืองลางเหมือนมุกราตรี แต่เมื่อออกมาถึงโลกแปลกๆนี่ แสงจากผลึกม่วงจางลงไป มันอาจจะเป็นผลกระทบของการสูญเสียพลังงาน

แต่ตอนนี้ ผลึกม่วงเริ่มทำการสะสมพลังงานและเพิ่มมากขึ้นทุกที ผลึกม่วงสะสมพลังงานจากอะไร?

อี้หยุนพิจารณาอย่างละเอียดพบว่า จุดเล็กๆที่รายล้อมผลึกม่วง มาจากนอกหน้าต่าง ราวกับว่า มันมาจากแสงดวงดาว

ผลึกม่วงสะสมพลังงานด้วยแสงดาว?

อี้หยุนคิดขณะที่กระโดดออกจากเตียง เขาเดินไปที่เตา และเขี่ยก้อนถ่านที่ยังครุกรุ่นออกมา เขาใส่หญ้าแห้งลงไปแล้วดูเปลวไฟสีเหลืองเต้นระริก เขาค่อยๆวางผลึกม่วงลงในกองไฟ เขาคิดทฤษฎีง่ายๆ คือ ถ้าผลึกม่วงดูดซับพลังงานจากแสงดาวก็อาจจะดูดซับพลังงานจากสภาพแวดล้อมอื่นๆได้

ในความเข้าใจของอี้หยุน ไฟมีพลังงานที่มากกว่าแสงดาว มันจะเร็วกว่า ถ้าหากให้ผลึกม่วงดูดซับพลังงานจากไฟ?

อี้หยุนลืมคิดไปว่า เปลวไฟอาจทำลายผลึกม่วง แต่ไม่ว่าเขาจะเผาผลึกม่วงอย่างไร มันก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาต่อความร้อนใดๆเลย หรือว่า ผลึกม่วง เป็นเหมือนกับก้อนน้ำแข็งพันปี ที่ไม่อาจละลายได้ เมื่อสัมผัสมันหลังจากไฟได้มอดลงแล้ว มันยังคงเย็น

อี้หยุนส่ายหัว และล้มเลิกการทดลอง เขาตัดสินใจออกไปนอกบ้าน มีแสงดาวมากมายทางด้านนอก และจะทำให้ผลึกม่วงได้รับพลังงานมากขึ้น

หากผลึกม่วงสะสมพลังงานจนเต็มแล้ว ก็จะได้นำมันมาใช้?

อี้หยุน คิดอย่างคาดหวัง เขาเปิดประตูบ้านและประตูลานบ้านออกไปและปิดอย่างระมัดระวัง เขากลัวพี่สาวที่อยู่ในห้องติดกันตื่น

แต่เมื่ออี้หยุนเดินเข้าไปที่ลานบ้าน เขาก็สะดุ้งเล็กน้อย เขาเห็นหญิงสาวในชุดเขียวนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากเขานัก เธอกำลังขัดหัวลูกศรอย่างระมัดระวัง หัวลูกศรเย็นๆ สะท้อนกับแสงจันทร์ ส่องต้องใบหน้าของหญิงสาว ราวกับเส้นสายของด้ายสีเงิน รอบๆหญิงสาวมีหิ่งห้อยมากมายรายล้อมเธอราวกับเทพธิดา

เจียงเเสี่ยวโหรว?

อี้หยุนเห็นกองลูกศรที่กองอยู่ข้างๆเจียงเเสี่ยวโหรว เป็นลูกศรอย่างดีพร้อมด้วยหัวลูกศรที่คมกริบ

“นี่คือ….”

แม้ว่าอี้หยุนจะไม่มีรู้อะไรเกี่ยวกับอาวุธเลย แต่เขาก็ชื่นชมความงามของลูกศรเหล่านี้

“หยุนเอ๋อร์ ลุกขึ้นมาทำไม? กลางคืนมันชื้นมาก เจ้าเพิ่งจะหายกลับไปนอนเร็วๆ” เจียงเเสี่ยวโหรวลุกขึ้นทันที ตั้งใจจะส่งอี้หยุนกลับเข้าบ้าน

“พี่สาว ทำไมจึงมีลูกศรมากมายเล่า?” อี้หยุนถามด้วยความอยากรู้ เจียงเเสี่ยวโหรวถึงกับสะดุ้ง

“นี่สำหรับการปันส่วนของวันพรุ่งนี้ เป็นวิธีนี้เสมอมา…..”

เจียงเเสี่ยวโหรวมองอี้หยุนด้วยความสนเท่ห์ใจ

“โอ้….”

เห็นได้ชัดว่าอี้หยุนไม่รู้เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องลึกลับที่เขาโผล่เข้ามา

ในโลกใบนี้ เขาเข้าใจคำพูด ภาษา แต่ไม่มีความทรงจำใดเลย เกี่ยวกับชีวิตของ “อี้หยุน” ทั้งหมดที่มียังคงเป็นความทรงจำเดิมของเขา มันก็คล้ายกับคนที่เดือดร้อนกับความทรงจำหลังได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ แม้จะสูญเสียความทรงจำในเรื่องราว แต่กลับไม่ลืมทักษะพื้นฐานอย่างการใช้ภาษา

อี้หยุนคิดถึงข้อแก้ตัวอันสมบูรณ์แบบนี้

“พี่สาว ข้าตายไปแล้วครั้งนึง เมื่อกลับมาได้ความทรงจำก็…..”

“เจ้าจำอะไรไม่ได้?” เจียงเเสี่ยวโหรวถามด้วยความตกใจ

อี้หยุนตกลงมาจากหน้าผา ที่เขาปีนขึ้นไปเก็บสมุนไพร ทำให้กระดูกหัก เขาล้มป่วยลง และจากไป เขาอาจจะบาดเจ็บที่ศีรษะก็ได้ ความคิดนี้ทำให้ เจียงเเสี่ยวโหรว ปวดร้าวและกังวลใจ

“หยุนเอ๋อร์...เจ้า...”

“ข้าสบายดี”

อี้หยุนตอบอย่างรวดเร็ว เขาไม่ต้องการให้เธอกังวลใจ

“พี่สาว บอกข้าเกี่ยวกับโลกนี้ที และเกี่ยวกับชายกลางคนที่ขี่สัตว์ร้ายนั้นด้วย มีสิ่งต่างๆมากมายที่ข้าจำไม่ได้….”

◀ บทที่เเล้ว หน้าหลัก บทต่อไป ▶

ไฟล์เสียหรือถูกลบบอกด้วยนะครับ เดียวจะเเก้ให้ สวนมีความเห็นอะไรหรืออย่าดูเรื่องไรก็โพทย์บอกได้