เมื่อกรุยเส้นลมปราณแล้ว โลกดูไม่เหมือนเดิม อี้หยุนไม่จำเป็นต้องใช้ผลึกม่วงกับลมปราณมากมายในโลกใบนี้ ลมปราณเหมือนอากาศ เข้าสู่ร่างกาย ในแต่ละลมหายใจ และออกไปทางรูขุมขน
นี่เป็นการเปลี่ยงแปลงอย่างละเอียดที่เกิดกับร่างกายของอี้หยุน ลมปราณสวรรค์พิภพมีคุณภาพของพลังงานสูงกว่าอาหาร
คนปกติกินอาหาร แต่ผู้บ่มเพาะจะใช้ลมปราณสวรรค์พิภพ เป็นแหล่งพลังงานของพวกเขา เมื่อถึงระดับหนึ่ง พวกเขาสามารถหยุดกินอาหารได้อย่างสมบูรณ์
ในประเทศจีนโบราณ “จวงจือ – เดินทางอย่างเป็นสุข” (ปรัชญาความสุข โดยจวงจือ นักปราชญ์ชาวจีน) มีบันทึก “ไม่กินห้าธัญพืช แต่ กลืนกินลมดื่มน้ำค้าง” หมายความว่า คนสามารถอยู่รอดได้ เพียงใช้พลังงานที่ได้รับจากสวรรค์และพิภพ ไม่จำเป็นต้องกิน ห้า ธัญพืช เป็นวิธีการทำให้ร่างกายบริสุทธิ์
นี่เป็นปรัชญาชั้นสูงสมัยโบราณ แน่นอน อี้หยุนยังห่างไกลจากสภาพ ไม่ต้องกินก็อยู่รอดนัก แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าน่าจะทำได้ แต่เขาไม่อาจยอมรับมันได้
โลกที่จากมา อี้หยุนเป็นคนเห็นแก่กิน อืม….แบบไม่ต้องซับซ้อน มันควรจะบอกว่า เขาเป็นนักชิมอาหาร - ใช่….นักชิมอาหาร
แต่ก่อนมันเป็นสัญลักษณ์ของความตะกละและเกียจคร้าน หลังจากที่ผู้คนสามารถเพลิดเพลินกับความงามของชีวิต อี้หยุนไม่เพียงแต่จะมีความสุขจากการกิน เขายังทำอาหารเก่งอีกด้วย บนโลกเขาอยู่เพียงคนเดียว แม้ว่าอาหารที่ทำจะไม่เทียบเท่าระดับเชฟกระทะเหล็ก แต่อาหารแบบบ้านๆ ของเขาเลิศรสแน่นอน
หากอี้หยุนเรียนทำอาหารอย่างจริงจังแค่สองปี ด้วยรูปลักษณ์และทักษะการทำอาหาร เขาจะมีภาษีดีมากในสายตาของพวกผู้หญิง
แต่น่าเสียดายที่ เขาต้องมุดอุโมงค์ทะลุมิติมา เริ่มต้นชีวิตด้วยความลำบากยากจน อดทนต่อความยากไร้ในเผ่าเหลียน อี้หยุนจึงไม่สามารถแสดงทักษะการทำอาหารของเขาได้ เขาหวังไว้ว่าเมื่อเขาทำชีวิตให้ดีขึ้นในอนาคต เขาจะจัดโต๊ะอาหารเลิศรสนานาชนิดเป็นรางวัลให้ตัวเอง
สำหรับเรื่อง การไม่กินอาหาร กลืนกินลม ดื่มน้ำค้าง ก็ให้มันลงนรกไปเถอะ แค่ความเป็นอยู่ตอนนี้ก็น่ากลัวพออยู่แล้ว
หากเขาไม่อาจตอบสนองต่อมรับรสของเขาได้ นั่นไม่ใช่ว่าเป็นความสูญเสียความสุขอันยิ่งใหญ่ของชีวิตหรือ?
หลังจากที่มาอยู่ในโลกแปลกประหลาดใบนี้ เดือนหนึ่งแล้วเนื้อเพียงอย่างเดียวที่อี้หยุนเห็นคือ เศษของเนื้อหมักเกลือ แม้จะรสชาติไม่ดี แต่มันก็ยังเป็นเนื้อ เมื่อเนื้อหมักเกลือหมด ก็มีเพียงโจ๊กข้าวหยาบๆ ต่อมรับรสของเขาร้องไห้ด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง แน่นอนว่าภายใต้สภาวะของเขา เขาเท่านั้นที่สามารถทนความหิวจนไส้บิด และเติมเต็มพลังงานด้วยการใช้แก่นพลังกระดูกเดียวดาย นับเป็นโชคดีที่แก่นพลังกระดูกเดียวดายให้รสชาติดีเลิศ
เมื่อชนเผ่าเหลียนกักอาหารไว้ ไม่ให้อาหารกับข้า ข้าก็จะกินแก่นพลังกระดูกเดียวดาย!
เขาได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะดูดซับแก่นพลังกระดูกเดียวดายให้สะอาดหมดจด
อี้หยุนไม่มีแผนจะป่าวประกาศ แต่ตัดสินใจจะดูดซับแก่นพลังให้มากที่สุดเท่าที่ต้องการในวันนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากความสามารถของผลึกม่วง มันเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอด แต่วันนี้มีเหตุให้แผนการของเขาต้องชะงักลง
เช้าวันนี้ เมื่ออี้หยุนกลับไปยังหมู่บ้าน เขารู้สึกว่า ที่นั่นมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างออกมาจากบ้าน ไปรวมตัวกันที่ลานหน้าที่พักของหัวหน้าเผ่า ทำให้ลานเล็กๆนั่นเต็มไปด้วยผู้คน
ท่ามกลางฝูงชน มีวัตถุขนาดมหึมาขนาดพอๆกับเนินเขา อี้หยุนจับจ้องและรู้สึกประหลาดใจ วัตถุขนาดเนินเขาเล็กๆนั่น มันคือ สัตว์อสูรขนาดใหญ่!
นี่…
อี้หยุนตะลึงงัน เจ้าสัตว์อสูรขนาดใหญ่ตัวนี้มาปรากฏตัวในเผ่าเหลียนได้อย่างไร? มองไปที่หัวของสัตว์อสูรนั่น มันทรงพลังอย่างแน่นอน สัตว์อสูรตัวหนึ่งสามารถเข้ามาในเผ่าเหลียนได้อย่างง่ายดาย!
แต่มีผู้คนมากมายเบียดเสียดอยู่รอบๆมัน สัตว์อสูรขนาดใหญ่แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ที่ต้องอยู่ในสถานที่เล็กๆอันสงบสุขของเผ่าเหลียน
ความคิดของอี้หยุนจุดประกายวาบ
“สัตว์อสูรตัวนี้….”
เขานึกถึงวันที่ข้ามมาสู่โลกใบนี้ เขาได้เห็นสัตว์อสูรขนาดใหญ่ กำลังวิ่งอยู่ในดินแดนรอบนอก ในขณะที่กลับมาบ้านพร้อมกับเจียงเเสี่ยวโหรว!
สัตว์อสูรตัวนั้นยาวประมาณสิบเมตร มีเขี้ยวคมกริบ กล้ามเนื้อแขนขาราวกับเสาโลหะ วิ่งได้รวดเร็วมาก และมีคนอยู่บนหลังของเจ้าอสุรกายตัวนั้น คนที่มีดาบสะพายอยู่บนหลัง เป็นคนที่มีกลิ่นอายของผู้บัญชาการและน่าสพึงกลัวมาก
ฉากนั้นทิ้งความประทับใจลึกๆให้กับอี้หยุน สำหรับมนุษย์เดินดิน ฉากดังกล่าวเป็นที่น่าตกตะลึงมาก
และตอนนี้ เจ้าสัตว์อสูรขนาดใหญ่นี้อยู่ในลาน มองดูราวกับเจ้าสัตว์อสูรตัวที่เขาเคยเห็น มันก็อาจจะเป็นสัตว์ที่เหมือนกัน!
ทันใดนั้น อี้หยุนก็เข้าใจ มีบุคคลสำคัญมาถึงเผ่าเหลียนสัตว์อสูรขนาดใหญ่เป็นพาหนะของบุคคลสำคัญ!
อี้หยุนพลาดเรื่องสำคัญอย่างนี้ได้อย่างไร? เขารีบไปที่ลานราวกับเหาะ ตามเส้นทาง เขาเห็นชาวบ้านฉลองกันราวกับเป็นวันปีใหม่ แล้วเขาก็ได้ยินคำสนทนา
คำสนทนาเหล่านั้นทำให้หัวใจของอี้หยุนเต้นรัว เจ้าของสัตว์อสูรขนาดใหญ่เป็นสมาชิกของ จินลองเหว่ย!
จินลองเหว่ยเป็นสุดยอดกองกำลังของอาณาจักรไทอา ระดับของสมาชิกชั้นผู้นำอยู่เหนือขอบเขตโลหิตม่วง! หน่วยพื้นฐานประกอบด้วย ยอดยุทธโลหิตม่วง
จินลองเหว่ยห้าวหาญในการสู้รบหาผู้ใดเปรียบมิได้
ผู้ก่อตั้ง จินลองเหว่ย คือ จักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรไทอา หลังจากนั้นจักรพรรดิ์ไทอาได้นำจินลองเหว่ยติดตามไปทั่วดินแดนวางรากฐานอาณาจักรไทอา
กองกำลังทำลายล้าง “จินลองเหว่ย” นี้ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน รุ่นต่อรุ่นจนไม่อาจนับได้ ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นผู้ฝึกยุทธของอาณาจักรไทอา จะถูกส่งเป็นกำลังสำรองให้กับจินลองเหว่ย เริ่มแรกจะอยู่ในฐานะกำลังสำรอง และหลังจากผ่านการประเมินผล ก็จะกลายเป็น สมาชิกอย่างเป็นทางการ แต่การที่จะผ่านการประเมินผลเป็นเรื่องยากมาก
หากล้มเหลวในการประเมินผลรอบสุดท้าย ก็จะถูกส่งไปยังกองกำลังปกติ ซึ่งจะเป็นสิ้นสุดการเดินทางไปสู่การเป็นสมาชิกของสุดยอดกองกำลัง “จินลองเหว่ย”
“หากเขาได้เป็นสมาชิก จินลองเหว่ย นั่นจะต้องพูดว่าสมาชิกที่มาจากเผ่าของเราต้องเป็นอย่างน้อยยอดยุทธโลหิตม่วง” (ประโยคนี้น่าจะเป็นคำพูดผู้อาวุโสในเผ่าเหลียน ที่พูดถึงเหลียนเฉิงอยู่)
ยอดยุทธโลหิตม่วงจากจินลองเหว่ย ห้าวหาญในการสู้รบ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก ยอดยุทธโลหิตม่วงที่เกิดจากดินแดนรกร้างเมฆา
ในความเป็นจริง สมาชิกจินลองเหว่ยที่มาจากเผ่าเหลียนเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่มีจุดสูงสุดอยู่ที่ขอบเขตโลหิตม่วง เมื่อถึงระดับนั้นแล้วได้รับการฝึกเป็นอย่างดีในจินลองเหว่ย ความห้าวหาญในการต่อสู้ของเขาจะหาที่เปรียบมิได้ เขาจะเป็นสุดยอด ผู้ฝึกยุทธ แห่งจินลองเหว่ย!
สำหรับผู้คนที่มาจากดินแดนรอบนอกอันกว้างใหญ่แม้แต่ผู้นำ(ผู้ดูแล) ชนเผ่านับแสนชนเผ่าขนาดใหญ่จะต้องน้อมคำนับ ต่อชนเผ่าเหลียน ด้วยสถานะเช่นนั้นเป็นที่น่าสะพรึงกลัว
ดังนั้นผู้อาวุโสของเหลียนเฉิงอยู่ล้วนออกมาหมด เหลียนเฉิงอยู่ และหัวหน้าเผ่า ยิ้มอย่างกว้างขวางขณะที่ทำการต้อนรับ
อี้หยุนเห็นได้อย่างชัดเจน ชายผู้นั้นเป็นคนเดียวกับที่เขาเคยเห็นในตอนที่แรกที่มาถึงโลกประหลาดใบนี้ เขาเปล่งกลิ่นอายแห่งผู้บัญชาการและมีอำนาจกดดันแม้จากระยะไกล
“เป็นเขาจริงๆ!” ใจของอี้หยุนกระจ่างขึ้น
นี่เป็นครั้งที่สองที่พบกับเขา หลังจากที่ได้พบครั้งแรกภายหลังการขุดอุโมงค์ทะลุมาสู่โลกใบนี้ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนเป็นความคิดที่ผ่านเข้ามา นับตั้งแต่มาสู่โลกใบนี้ จากความเข้าใจของอี้หยุนต่อดินแดนรกร้างเมฆา
อี้หยุนรู้ว่าที่ดินแดนรกร้างเมฆา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนเผ่าเหลียน เป็นชนเผ่ายากไร้ไม่มีความชำนาญใดๆนอกจากการสร้างความรำคาญ นั่นคือสิ่งที่พูด
เมื่อเป็นสุดยอดของจินลองเหว่ย เขาต้องมีเหตุผลในการพำนักอยู่รอบๆชนเผ่าเหลียน เป็นระยะเวลานาน แล้วเหตุผลคืออะไร?
ไฟล์เสียหรือถูกลบบอกด้วยนะครับ เดียวจะเเก้ให้ สวนมีความเห็นอะไรหรืออย่าดูเรื่องไรก็โพทย์บอกได้
กำลังสนุกกับการค้นหาตอนต่อไปนิยายสนุกครับ