True Martial World บทที่ 32 ผู้อ่อนแอจะถูกกดขี่เป็นข้าทาส

“ทุกๆคนอยู่ที่นี่ นายท่านจางได้โปรดเลือก แน่นอนว่าผู้ต้อยต่ำก็ต้องการจะมีส่วนในการคัดเลือกของอาณาจักร หากเป็นไปได้ ก็อยากจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายท่าน ได้รับการสั่งสอนจากนายท่าน” เหลียนเฉิงอยู่กล่าวอย่างสุภาพ จางอวี๋เซียนเหลือบมองเหลียนเฉิงอยู่ และประเมินเขา “โอ้? ระดับการบ่มเพาะของเจ้าคืออะไร?” เหล่าผู้ฝึกยุทธโลหิตมนุษย์ทั้งหมดเป็นระยะเริ่มต้นของการบ่มเพาะ ทั้งหมดที่ฝึกคือทักษะที่เกี่ยวข้องกับร่างกายของพวกเขาห้าระดับของโลหิตมนุษย์ จำแนกตามปรากฏการณ์ทางกายภาพของบุคคล ดังนั้นมันจึงยากที่บอกด้วยรูปลักษณ์ ว่าเป็นคนที่เปิดเส้นลมปราณได้แล้วหรือกระดูกและเส้นเอ็นของเขาสามารถทำเสียงได้ มีเพียงบุคคลที่บ่มเพาะถึงระดับ จิตวิญญาณ จึงจะสามารถรับรู้ถึงความสำเร็จในการบ่มเพาะของบุคคลได้ ซึ่งถูกเรียกกันว่า “เปิดจักษุสวรรค์” เพียงแค่นั้นก็จะตัดสินระดับการบ่มเพาะของเหล่าผู้ฝึกยุทธโลหิตมนุษย์ได้ แต่เห็นได้ชัดว่า จางอวี๋เซียนไม่ถึงระดับดังกล่าว “ตอบนายท่าน ผู้ต้อยต่ำอยู่ระดับห้าสูงสุดของโลหิตมนุษย์ ลมปราณรวบรวม อีกเพียงก้าวสั้นๆจะเข้าสู่ขอบเขต โลหิตม่วง!” “โอ้?” จางอวี๋เซียน ขมวดคิ้ว “เพื่อให้สามารถที่ไปถึงระดับนั้น คนที่เติบโตมาจากชนเผ่าเล็กๆที่ขาดซึ่งทรัพยากร เจ้าต้องมีความสามารถพิเศษหรือประสบเหตุการณ์พิเศษหรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง ดีมาก!” จางอวี๋เซียน พยักหน้าแล้วบอกว่า “ก้าวไปอยู่ด้านหลัง” “ขอบคุณสำหรับการประเมินของนายท่าน!” เหลียนเฉิงอยู่กล่าวอย่างนอบน้อม เขาไม่ได้ดีใจมากนักที่ผ่านการประเมินของจางอวี๋เซียน! เป้าหมายของเขาคือการคัดเลือกของอาณาจักร หากเขาไม่ผ่าน การคัดเลือกรอบแรก ก็จะไม่ต้องพูดถึงความทะเยอทะยานสูงส่งของเขา หลังจากเลือกเหลียนเฉิงอยู่ จางอวี๋เซียนหันศีรษะมองไปที่สมาชิกของเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ เขาจ้องมองไปที่พวกนั้น 5 นาที ก่อนจะรู้สึกผิดหวัง นอกจากเหลียนเฉิงอยู่ ก็ไม่มีใครในเผ่าเหลียนที่น่าจับตามอง เขาสามารถเลือกแบบไม่เฉพาะเจาะจงจากเจ้าพวกแคระแกร็นเหล่านี้ เขาไม่สู้เต็มใจที่จะเริ่มเลือกบางคน แม้ว่าจะได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่าให้เลือก 30 คน จางอวี๋เซียนมีหลักการของตนเอง เขาไม่สามารถสอนผู้ขาดความสามารถอย่างจริงจังได้ “มีใครอีกไหมในเผ่าเหลียน ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการคัดเลือกของอาณาจักร?” ดวงตาของจางอวี๋เซียนมองกวาดผ่านชาวบ้านไป ผู้คนระมัดระวังตัวมาก เขาต้องการได้รับการชี้ตัวจากบุคคลในตำนานเช่น จางอวี๋เซียน แต่มันก็จบตั้งแต่เริ่ม ด้วยพวกเขาไม่รู้จักวิชายุทธ แม้ว่าจะไปยืนอยู่ข้างหน้า พวกเขาก็จะถูกบอกปัดโดยจางอวี๋เซียน มันน่าขายหน้าที่จะก้าวออกไป ทั้งเผ่าจะเย้ยหยันในความพยายามงี่เง่านั้น ปฏิกริยาของชาวบ้านอยู่ในความคาดหมายของเหลียนเฉิงอยู่ เขาหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “ขออภัยเรื่องตลกเหล่านี้ด้วยนายท่าน คนที่ฝึกวิชายุทธของเผ่าทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว พวกที่เหลือเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีอะไรดี พวกเขามีดีก็เพียงทำการเกษตรและเก็บสมุนไพร ไม่เหมาะกับวิชายุทธ ขอนายท่านอย่าได้ใส่ใจกับคนพวกนี้ นายท่านได้โปรด...” ก่อนเหลียนเฉิงอยู่จะพูดจบ มีเสียงดังมาจากฝูงชน “ได้โปรดขอทางให้ข้าผ่านไปด้วย...” ในขณะนั้น เด็กหนุ่มวัยกำลังโตกุมมือเด็กสาวเบียดผ่านฝูงชนออกมา อี้หยุนมาสายตามเคย ดังนั้นเขาจึงอยู่ชั้นนอกของฝูงชน “หยุนเอ๋อร์ เจ้า...” เจียงเเสี่ยวโหรวถูกดึงไปข้างหน้า ก่อนที่นางจะทำความเข้าใจสถานการณ์ เพียงเมื่อนางเดินผ่านชั้นสุดท้ายของฝูงชน นางก็ได้ตระหนักถึงที่ๆนางกับอี้หยุนอยู่ เจียงเเสี่ยวโหรวถึงกับงุนงง นี่คือตรงกลางของลานกว้าง! เห็นจางอวี๋เซียนกับพวกชนชั้นสูงของเผ่าเหลียน อยู่ด้านหน้าของนาง เจียงเเสี่ยวโหรวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ และในเวลานั้นเองก็รู้สึกว่าอี้หยุนปล่อยมือของนาง และเห็นเขาเดินไปข้างหน้า เขาหยุดเดินเมื่อเขาไปถึงกลุ่มของสมาชิกในเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ ปากของเจียงเเสี่ยวโหรวขยับแต่ไม่ได้มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา รอยยิ้มของเหลียนเฉิงอยู่ ค้างแข็ง สมาชิกในเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธตะลึงงัน! จางอวี๋เซียนมองด้วยความประหลาดใจ แล้วถามอี้หยุนว่า “เจ้าต้องการมีส่วนร่วม?” “ขอรับ ท่านผู้สูงส่ง” อี้หยุนกล่าวสั้นๆด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น คำพูดนั้นทำให้ฝูงชนเงียบกริบ ทุกคนมองไปที่อี้หยุนอย่างงุนงง อี้หยุนต้องบ้าไปแล้ว? เขาไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ของเขา เขาเป็นเหมือนลูกไก่ตัวเล็กๆ และอาจมีน้ำหนักไม่ได้ถึงแปดสิบจิน เหล่าคนแข็งแรงที่ขาดคุณสมบัติในฝูงชนยังแข็งแรงกว่าเขาเป็นร้อยเท่า! นอกจากนี้อี้หยุนยังไม่เคยได้รับการฝึกฝนวิชายุทธ เขายังเคยเกือบตายจากการเก็บสมุนไพร เขายังไม่สามารถผ่าฟืนสำหรับกระดูกเดียวดายได้ดี แล้วเขายังต้องการลงชื่อ? คนที่ต้องการลงชื่อแต่ไม่มีความกล้าพอมองไปที่อี้หยุนด้วยความพลุ่งพล่าน “เจ้าเด็กนี่สร้างปัญหาในโอกาสอย่างนี้ เขาไม่ต้องการมีชีวิตอยู่?” เมื่อเห็นว่ามีคนกล้าทำสิ่งที่เขาขาดความกล้าที่จะทำ เขาก็มักจะเกิดความอิจฉา ด้วยสถานการณ์เช่นนั้นชาวบ้านหลายคนในเผ่าเหลียน จึงทำในสิ่งที่เป็นไปตามคาดหมาย “อี้หยุน เจ้าข้าทาสเล็กๆ เจ้ากล้าแสดงความไม่เคารพต่อผู้มีอาวุโส การกระทำในวันนี้ จะทำให้เจ้าไม่มีอาหารกิน! เจ้าบัดซบออกมา!” เหลียนเฉิงอยู่ไม่ได้รั้งรอกับสิ่งที่อี้หยุนกระทำ กับการกระทำในโอกาสสำคัญเช่นนี้ อี้หยุนเป็นแค่เด็ก และยังเป็นเด็กที่อ่อนแอที่สุดในหมู่เด็ก กล้าออกมาลงชื่อเพื่อรับการคัดเลือก มันเห็นได้ชัดว่าเขาจะทำให้จางอวี๋เซียนเสียเวลา มันเป็นความอัปยศ และอาจเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของเขาต่อหน้า จางอวี๋เซียน จางอวี๋เซียนจะคิดว่า เขามีปัญหาทางวินัยจึงไม่สามารถจะควบคุมเด็กนั่นได้ อี้หยุนชำเลืองไปทางเหลียนเฉิงอยู่และตอบสนองด้วยความเยือกเย็นและเฉียบขาดอย่างร้ายกาจ “ในดินแดนรอบนอกผู้อ่อนแอจะถูกกดขี่เป็นข้าทาสพูดกันตรงๆอ่อนแอเป็นข้าทาส หากความแข็งแกร่งของข้าอ่อนแอ มันก็ถูกต้องที่เรียกข้าว่าข้าทาส และข้าจะไม่ย้อนถามว่า หากวันหนึ่ง นายน้อยเหลียนได้พบคนที่เข้มแข็งกว่าตนเอง ก็จะเป็นข้าทาสเช่นกัน นายน้อยเหลียนคิดเช่นนั้นไหม?” ท่าทีของเหลียนเฉิงอยู่เปลี่ยนไป เขาโกรธเกรี้ยว นี่มันอะไร? เจ้าข้าทาสเล็กๆในเผ่ากล้าพูดกับเขาเช่นนั้น!? หากไม่มีจางอวี๋เซียน เหลียนเฉิงอยู่คงยกมือฟาดฆ่าอี้หยุนไปแล้ว “ผู้อ่อนแอจะถูกกดขี่เป็นข้าทาส?” จางอวี๋เซียน ยิ้มออกมา เขาเหลือบมองที่อี้หยุนอย่างไม่คาดคิด “น่าสนใจ มีความเข้าใจอันลึกซึ้ง แม้จะเกิดมาในเผ่าเล็กๆ ที่เจ้าบอกมันถูกต้อง ผู้อ่อนแอจะถูกกดขี่เป็นข้าทาส และใช้ได้กับทุกคน หากวันหนึ่งข้าต้องเจอกับคนที่มีความสามารถมากกว่าข้า ข้าก็จะกลายเป็นข้าทาสเช่นกัน” ได้ยินจางอวี๋เซียนพูดเช่นนั้น อี้หยุนรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เคยคาดหวังว่า จางอวี๋เซียนจะยอมรับอย่างเปิดเผย และสนับสนุนคำกล่าวนั้น ความตรงไปตรงมาเช่นนี้อาจไม่ได้หายากในหมู่บุคคลสำคัญ แต่มันเป็นสิ่งที่บุคคลสำคัญไม่ค่อยแสดงออกกับบุคคลที่ต่ำกว่า เพราะความหยิ่งยะโส การแสดงออกอย่างง่ายๆของ จางอวี๋เซียน สร้างความประหลาดใจให้กับอี้หยุน เหลียนเฉิงอยู่ต้องสะกดกลั้นความโกรธ ด้วยคำพูดของจางอวี๋เซียน จินลองเหว่ยผู้สูงส่งอยู่ที่นี่ เขายังจะกล้าพูดอะไรอีก! อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่าเหลียนเฉิงอยู่จะสามารถทนให้อี้หยุนก่อเรื่องวุ่นวายได้ เขาจึงบอกกับจางอวี๋เซียนว่า “ท่านราชทูต เด็กคนนี้ชื่ออี้หยุน เป็นเด็กต่ำต้อยขี้โรคในเผ่าเหลียนของพวกเรา เขาไม่มีพื้นฐานวิชายุทธ เขาอยู่ที่นี่แค่จะทำให้ท่านเสียเวลา ผู้ต้อยต่ำจะโยนเขาออกไป กับเรื่องตลกเช่นนี้ ได้โปรดอย่าคิดว่าเป็นความผิดของข้าที่ไม่สามารถทำให้เผ่ามีระเบียบวินัยได้” เหลียนเฉิงอยู่ไม่ได้โกรธเพราะอี้หยุนถามคำถามกับผู้มีอำนาจเช่นเขา แต่เป็นเพราะเขาต้องได้รับความอับอายต่อหน้า จางอวี๋เซียน โดยไม่ได้คาดคิด จางอวี๋เซียน ตั้งใจพุ่งเป้าไปพูดกับอี้หยุน “เด็กน้อยหากเจ้าแน่ใจ ก็จงยืนอยู่ที่นี่ ข้าจะตรวจสอบความเหมาะสมสำหรับการฝึกวิชายุทธในภายหลัง” จางอวี๋เซียนอาจชื่นชมอี้หยุน แต่เขาก็ไม่ได้เป็นกังวลอะไรมากนักจากมุมมองของเขา มีคนไม่กี่คนในดินแดนรอบนอกที่เหมาะสมกับการฝึกวิชายุทธ เมื่ออี้หยุนกล้าที่จะออกมายืนข้างหน้า เขาก็จะช่วยตรวจสอบให้ จางอวี๋เซียน ทำให้ตำแหน่งของเขาชัดเจนแล้ว เหลียนเฉิงอยู่อาจบอกว่าไม่มีอะไร แต่ได้มองอี้หยุนด้วยความไม่พอใจ “ขอบคุณท่านผู้สูงส่ง” อี้หยุนกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม แล้วเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ กลุ่มคนของเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ เป็นความบังเอิญที่เขายืนอยู่ข้างๆ จ้าวเทียจู่ ด้วยเหตุที่จ้าวเทียจู่ เป็นลูกน้องคนสนิทของเหลียนเฉิงอยู่ เขากลายเป็นผู้นำโดยไม่ต้องแต่งตั้งของกลุ่มคนจากเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่เป็นคนแรกของแถว เมื่ออี้หยุนเดินเข้ามาก็เป็นธรรมดาที่ต้องจบลงด้วยการยืนอยู่ข้างจ้าวเทียจู่ จึงเป็นผลว่าตอนนี้อี้หยุนยืนเป็นตำแหน่งแรก นี่ทำให้จ้าวเทียจู่ขุ่นเคือง นี่เป็นเรื่องตลกอะไร เขาซึ่งรูปร่างใหญ่โตและแข็งแรง เอาเขามาเปรียบเทียบกับเจ้าตัวถ่วงน้อย นี่ได้อย่างได้? เขาวางแผนในการเข้าไปในเมืองมีตำแหน่งสูงส่งเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวผู้กล้าแห่งอาณาจักรในอนาคต เจ้าตัวถ่วงนี่จะทำอันตรายอะไรเขาได้? “เจ้าข้าทาสน้อย เจ้ามาแค่ทำเรื่องตลกที่นี่ ใช่มั้ย?” จ้าวเทียจู่เย้ยหยัน เขากำลังรอให้อี้หยุนแสดงความโง่เขลาของตัวเองออกมา อี้หยุนไม่ได้ใส่ใจ และยืนอยู่ที่นั่นเงียบๆ เมื่อถึงเวลาที่ จางอวี๋เซียนเริ่มการคัดเลือก ไม่มีผู้ใดรู้เกณฑ์การคัดเลือกของจางอวี๋เซียน พวกเขารวบรวมความแข็งแกร่งทั้งหมดรอคอยมัน

ไฟล์เสียหรือถูกลบบอกด้วยนะครับ เดียวจะเเก้ให้ สวนมีความเห็นอะไรหรืออย่าดูเรื่องไรก็โพทย์บอกได้