True Martial World บทที่ 33 กินต้นไทรใหญ่

“เจ้าอายุเท่าไร?” สมาชิกสองคนของเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธที่ล่ำสันและมีผิวคล้ำ จางอวี๋เซียน มองไปที่คนแรกที่ค่อนข้างเตี้ยแต่ร่างกำยำ ชายผู้นี้มีสถานะสำคัญในเผ่าเหลียน แม้แต่ในหมู่ผู้ฝึกยุทธที่เหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ เขาก็เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุด เขารู้สึกเป็นเกียรติที่เป็นคนแรก ที่ได้รับการตรวจสอบโดย จางอวี๋เซียน “นายท่าน ข้าอายุ 26 ปี ข้าสามารถยกลูกกลิ้งหินได้ 400 จิน ข้าไม่ได้พูดล้อเล่นนะ หินหนักนั่นข้าสามารถยกขึ้นได้ 4-5 ครั้งเหมือนเป็นของเล่น หากนายท่านต้องการ ข้าจะแสดงให้ดู!” ชายผู้นั้นโอ้อวดตนเองอย่างมั่นใจ จางอวี๋เซียนไม่สนใจในคำโอ้อวดตนเองของเขา และวางมือลงบนไหล่ของชายผู้นั้นเงียบๆ เขาเริ่มส่งลมปราณเข้าไป มีเพียงคนที่ได้ “เปิดจักษุสวรรค์” จึงจะมองเห็นกล้ามเนื้อ เส้นลมปราณ กระดูก ด้วยการมองดูเพียงแวบเดียว และจะลงความเห็นได้ทันทีว่าบุคคลนั้นมีความเหมาะสมกับการฝึกวิชายุทธหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จางอวี๋เซียน ยังไม่ถึงขอบเขตนั้น ดังนั้นเขาเลือกวิธีการส่งลมปราณเข้าไปเล็กน้อย แล้วดูว่าร่างกายของบุคคลผู้นั้นสามารถดูดซับไว้ได้แค่ไหน ผู้ที่สามารถดูดซับได้ดีจะมีสภาพร่างกายที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่ดูดซับได้ไม่ดี จะมีสภาพร่างกายที่ไม่เหมาะสม หลังจากลองเป็นเวลาสั้นๆ จางอวี๋เซียน ก็มิเปล่งวาจา ชายผู้นี้ดูดซับลมปราณที่เขาส่งเข้าไปในร่างกายได้น้อยกว่า 10% ประมาณ7-8% ความสามารถนี้เหลือทนเกินกว่าจะมอง “เจ้าคิดว่าจะสามารถเอาชนะศัตรูแค่เพียงเจ้ายกหินได้?” จางอวี๋เซียนจ้องมองไปที่นัยน์ตาชายผู้นั้นแล้วพูดว่า “สภาพร่างกายของเจ้าธรรมดามาก มันไม่เหมาะการฝึกวิชายุทธ” คำของจางอวี๋เซียน เหมือนเอาถังน้ำเย็นสาดใส่ใบหน้าของชายผู้นั้น ชายผู้โอ้อวดตนเองสับสน ไม่เหมาะกับการฝึกวิชายุทธ? ข้าไม่เหมาะกับการฝึกวิชายุทธได้อย่างไร? ชายผู้นั้นไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อประสานเข้ากับสายตาอันเยียบเย็นของจางอวี๋เซียน เขาก็คอตกล่าถอยเหมือนไก่ชนที่แพ้อย่างราบคาบ ข้าแข็งแรงกว่าเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้น ข้าสามารถยกลูกกลิ้งหิน 400 จินได้ หากข้าไม่เหมาะกับวิชายุทธแล้วข้าจะสามารถยกลูกกลิ้งหินหนักได้? ความคิดเหล่านี้หมุนวนอยู่ในใจชายผู้นั้น เขาฝึกวิชายุทธมาหลายปี และเมื่อสักครู่กับได้รับการบอกกล่าวจากจางอวี๋เซียนว่า เขาไม่เหมาะกับวิชายุทธ มันลบล้างความพยายามทั้งหมดของเขาก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเขาเพียงเก็บไว้ในใจ เพราะเขาไม่มีความกล้าที่จะโต้แย้งกับ จางอวี๋เซียน “ตอนนี้อยู่นี่ก่อน” จางอวี๋เซียนไม่มีแผนที่จะคัดออกทันที แต่จะเก็บเอาไว้ก่อน เป็นเพราะเขารู้ว่าต้องเตรียมใจ เมื่อมีการคัดเลือกในดินแดนรอบนอก มันเป็นการยากที่จะมีบุคคลที่จะกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ในเผ่าที่ไม่มีผู้เยี่ยมยุทธใดๆติดต่อกันหลายรุ่น จากรุ่นสู่รุ่น และไม่น่าจะมีอัจฉริยะปรากฏออกมาได้ แต่ จางอวี๋เซียนก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า เขาได้มาประเมินขอบเขตคุณภาพไม่ดีของผู้คนในดินแดนรอบนอกอันกว้างใหญ่ และเริ่มจะเข้าใจว่าไม่มีสิ่งใดแย่ที่สุด แค่แย่กว่าเท่านั้น เขาลดเส้นมาตรฐานตัวเองลง ชายผู้โอ้อวดตนเองจากก่อนหน้าเมื่อพิจารณาจริงๆก็ไม่เลวเท่าไร เมื่อถึงที่สุดแล้ว ส่วนใหญ่ของพวกเขาก็ดูดซับได้ 6-7% มีบางคนเท่านั้นที่ดูดซับได้ 4-5% เป็นสัญญาณที่น่ากลัว จางอวี๋เซียนแค่ลดมาตรฐานเขาลงอีกเท่านั้น ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่าทุกคนที่สามารถดูดซับมากกว่า 6% สามารถอยู่ได้ “เจ้า….ข้าคิดว่าเจ้าแทบจะไร้ความเหมาะสม” จางอวี๋เซียน มองชายอ้วนล่ำอย่างช่วยไม่ได้ และเพียงสามารถอธิบายด้วยคำว่า “แทบจะ” ทั้งที่เขาลดเส้นมาตรฐานลงอัตราการคัดออกเหลืออยู่ที่ประมาณ50% ผู้ฝึกยุทธในเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธประมาณ 40 คน มีเพียงประมาณ 20 คนที่มีคุณสมบัติตามมาตรฐานดังกล่าว ไม่ตรงกับเป้า30 คนอย่างชัดเจน “นายท่านจาง แน่ใจว่าไม่เข้มงวดไป ผู้ฝึกยุทธจากเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ มีความแข็งแกร่ง แต่ครึ่งหนึ่งกับถูกคัดออก” “โชคดีที่เราไม่ได้ก้าวออกไป หรือ ทำสิ่งน่าขายหน้านั้น” คนไม่กี่คนที่ก่อนหน้าต้องการที่จะลอง หลังจากได้เห็นอี้หยุนโชคดีได้ลงชื่อ พูดขึ้นมา ภายใต้การคัดออก มีเพียงผู้มีสามารถมากเท่านั้นที่จะได้รับเลือก และพวกเขาสามารถบอกได้เลยว่าจางอวี๋เซียน ไม่พอใจจริงๆกับคนที่ผ่านการคัดเลือก แต่มันเป็นเพราะว่าไม่มีใครให้เลือก เขาจึงเลือกคนทั่วไปในหมู่คนแคระ จากความเข้าใจนี้ฝูงชนเริ่มชื่นชมเหลียนเฉิงอยู่ มากยิ่งขึ้น มีเพียงเหลียนเฉิงอยู่ที่ได้คำชมเชยว่า “ไม่เลว” “หยุนเอ๋อร์…” เจียงเเสี่ยวโหรว เกาะกุมมือเล็กๆของตัวเองแน่น นางมองไปที่อี้หยุนด้วยความรู้สึกกังวล นางรู้ว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้แอบฝึกวิชายุทธ แต่ก็ไม่คิดว่าขีดความสามารถของเขาจะเพิ่มสูงกว่า สมาชิกในเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ หากจางอวี๋เซียนไม่รับคนจากเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ เขาจะเลือกอี้หยุนได้อย่างไร? เจียงเเสี่ยวโหรวยังคงยืนอยู่กลางลานกว้าง เป็นตำแหน่งที่น่าอึดอัดใจมาก ดวงตาของฝูงชนจับจ้องอยู่ที่นาง น้องชายของนางเป็นหนึ่งในผู้สมัครเบื้องต้น ทั้งไม่อาจล่าถอย และไม่อาจยืนอยู่ตรงนั้น อี้หยุนสังเกตเห็นดวงตาอันเป็นกังวลของเจียงเเสี่ยวโหรว และขยับปากเล็กน้อยพูดว่า “พี่เเสี่ยวโหรว ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่เป็นอะไร” จ้าวเทียจู่ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหลังจากได้ยินคำพูดของอี้หยุน แล้วหันหน้ามาเยาะเย้าถากถาง “เจ้ามันจอมขี้โม้ ข้าบอกได้เลยว่าสุนัขจรจัดมันยังแข็งแรงกว่าเจ้า หากให้เลือกนายท่านจางจะเลือกสุนัขจรจัดมากกว่าจะเป็นเจ้า!” อี้หยุนแค่จ้องมองอย่างเย็นชาไปที่ดวงตาของจ้าวเทียจู่ แล้วพูดว่า “เจ้าควรดูแลตัวเองดีกว่า สำหรับตัวข้า เจ้าไม่ต้องกังวล” “วะเฮ้ย! ไอ้เด็กอวดดี คิดใช้คำพูดพวกนั้นต่อต้านข้า! หากเจ้าได้รับคัดเลือกวันนี้ ข้าจะถอนต้นไทรใหญ่ที่ทางเข้าหมู่บ้านกินมันทั้งหมด ทั้งใบ ทั้งราก” จ้าวเทียจู่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ในตอนนั้น ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างจ้าวเทียจู่ สมาชิกอีกคนของเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ ก็ร่วมเย้ยหยัน “ส่วนข้าจะกินลูกกลิ้งหินใหญ่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน!” “ฮ่าๆ พวกเจ้าแน่ใจ น่าหัวเราะ ข้าจะเข้าร่วมกับพวกเจ้าด้วย การดื่มน้ำทั้งหมดในแม่น้ำตะวันออก” คนของเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ เริ่มก่อกวน อี้หยุนมองคนเหล่านั้นอย่างช่วยไม่ได้และยักไหล่ “ไงก็ได้” ในเวลานั้น จางอวี๋เซียนได้มาถึงจ้าวเทียจู่แล้ว จ้าวเทียจู่หุบยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืนตัวตรง จางอวี๋เซียนกดลงบนตัวของจ้าวเทียจู่ แล้วพูดว่า “ยี่สิบแปด?” จ้าวเทียจู่พูดอย่างเร่งรีบ “นายท่านสายตาดีมาก ข้าน้อย อายุยี่สิบแปดจริงๆ” จางอวี๋เซียนขมวดคิ้ว สำหรับจ้าวเทียจู่ไม่เป็นที่พอใจของเขา แต่เมื่อครุ่นคิดถึงจำนวนคนที่เลือกมีอยู่น้อยเหลือเกิน เขาฝืนใจพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าเกือบไม่ผ่าน ข้าจะเก็บเจ้าไว้คนหนึ่ง” จางอวี๋เซียน เริ่มมีความเชื่อว่าการให้มีการคัดเลือกของอาณาจักรในดินแดนรกร้างเมฆาเป็นความพยายามที่สูญเปล่า จ้าวเทียจู่ ถอนใจใหญ่อย่างโล่งอก และส่ายกำปั้น “ดีที่สุด! ข้าผ่าน!” เขาตื่นเต้นมากและเริ่มโอ้อวดต่อหน้าอี้หยุน แม้ว่าเขาจะได้มาตรฐานขั้นต่ำแต่เขาก็ยังผ่าน! ได้ฝึกวิชายุทธกับท่านราชทูตผู้สูงส่ง เมื่อเขาประสบความสำเร็จ เขาจะแต่งภรรยาหลายๆคน แล้วเดินไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตมนุษย์ ไม่มีอะไรที่คนอ่อนแออย่างอี้หยุนจะเปรียบเทียบได้ ในเวลานั้น จางอวี๋เซียน มาอยู่ด้านหน้าของอี้หยุนแล้ว สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่อี้หยุน เหลียนเฉิงอยู่ ยิ้มเยาะ ข้าต้องการเห็นเจ้าถูกไล่ออกไปจากนี่! ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจเขา แต่เขาต้องลบมันทิ้งทันที อี้หยุนมันเป็นเด็กปัญญาอ่อน ดังนั้นมันคงไม่คิดถึงด้วยซ้ำ หากต้องอับอายขายหน้า เจ้าเด็กปัญญาอ่อนก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดสิ่งใด เพราะการก่อเรื่องวุ่นวายเป็นเรื่องปกติสามัญ มันอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการชมเชย เหลียนเฉิงอยู่ ถึงกับอึ้งเมื่อความคิดแล่นมาถึงข้อสรุปนี้ ก็คล้ายกับคำพูดที่ว่า ไม่ควรเถียงกับคนงี่เง่า พวกเขาจะเอาท่านลงไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาแล้วเขาจะเอาชนะท่านด้วยความจัดเจน “อี้หยุน ใช่ไหม?” จางอวี๋เซียนยืนอยู่ตรงหน้าอี้หยุน “ขอรับ ท่านผู้สูงส่ง” “เจ้าไม่เคยฝึกวิชายุทธจริงๆ?” จางอวี๋เซียนมองอี้หยุนด้วยการคาดคะเน ขอบเขตของเขา เพียงแค่ โลหิตม่วง ไม่สามารถมองระดับของอี้หยุนได้ แต่เขารู้สึกว่า ร่างกายของอี้หยุนซ่อนพลังที่มีความสามารถหลบซ่อนตัวเอง! “ข้าได้รับการฝึกมาเล็กน้อย” อี้หยุนเลือกคำพูดอย่างชาญฉลาด การฝึกด้วยการขโมยเรียนก็ถือว่าเป็นการฝึก “นายท่าน เจ้าเด็กนี่มันโกหก!” จ้าวเทียจู่ เริ่มกล่าวโทษ “ข้าสามารถยืนยันได้ว่าเจ้าเด็กนี่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนวิชายุทธ!” อี้หยุนมองไปที่จ้าวเทียจู่ราวกับว่าเขาเป็นก้อนหินเกะกะสายตา “เจ้าจะรู้ได้อย่างไรหากข้าได้ฝึกวิชายุทธ? ข้าผ่านลานฝึกยุทธตั้งหลายครั้งหลายหน ข้ายังได้ฝึกบางสิ่งที่ครูฝึกเหยาสอน” อี้หยุนยอมรับโดยเปิดเผยว่าเขาได้ฝึกวิชายุทธ นี่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับวันที่เขาจะเปิดเผยความแข็งแกร่งแท้จริง มันจะทำให้คนคิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะ ลดความเสี่ยงที่ผลึกม่วงจะถูกค้นพบ หากไม่ทำเช่นนี้ เขาจะไม่สามารถอธิบายได้ว่า เขาได้ทักษะทั้งหมดมาจากไหน “เจ้าแอบเรียนวิชายุทธ?” เมื่อได้ยินคำพูดของอี้หยุน ไม่เพียงแต่จ้าวเทียจู่ที่หัวเราะ แม้กระทั่งสมาชิกคนอื่นๆของเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธก็พยายามกลั้นหัวเราะอย่างหนัก พวกเขาไม่กล้าที่จะกระทำต่อหน้าจางอวี๋เซียน ถึงจุดนี้ ไม่มีใครจะจับเขาเรื่องการขโมยเรียนวิชายุทธ สมาชิกคนหนึ่งในเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธพูดว่า “ครูฝึกเหยาสอน ‘หมัดซี่โครงมังกรกระดูกพยัคฆ์’ อย่างลึกซึ้ง พวกเราไม่สามารถที่จะเข้าใจโดยทำตามทุกท่วงท่าของเขาได้ เจ้าเด็กโง่เขลา ไร้เรี่ยวแรงใดๆ จะแอบเรียนรู้มันได้? เจ้าเรียนรู้สิ่งใด!” อี้หยุนไม่ได้ใส่ใจที่จะย้อน เขาแค่ต้องการเบี่ยนเบนความสนใจที่เขาได้รับการฝึกวิชายุทธ มันอาจใช้เพื่อรองรับเหตุการณ์ เมื่อเขาเปิดเผยความแข็งแกร่งแท้จริง จางอวี๋เซียน ครุ่นคิดในขณะที่เขาวางมือบนไหล่อี้หยุน ส่งลมปราณของเขาเข้าไปช้าๆ เขาไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เขาชื่นชมอี้หยุนเรื่องความกล้าหาญที่หายาก สำหรับเด็กที่ก้าวออกมาภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น แน่นอนความชื่นชมเป็นแค่สิ่งหนึ่ง แต่การฝึกวิชายุทธไม่ได้มีเพียงความกล้าหาญ ลมปราณของจางอวี๋เซียนถูกส่งเข้าไปไหลเวียนในร่างอี้หยุนเรียบร้อย และในขณะที่เขารอผลในการรับลมปราณกลับว่ามันจะถูกดูดซับไปเท่าไร…. เขากับตระหนักว่า ลมปราณของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย! “นี่….” จางอวี๋เซียน จ้องตาเขม็ง เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? คิ้วของเขากระตุก ไม่อยากเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น เขาส่งลมปราณเข้าไปในร่างอี้หยุนอีกครั้ง ลมปราณปะทุเข้าสู่เส้นลมปราณของอี้หยุน ราวกับว่าพวกมันได้เข้าไปสู่หลุมดำ ช่วงเวลาที่มันผ่านหัวใจของเขา พวกมันก็ถูกดูดซับโดยผลึกม่วง ไม่มีอะไรหลงเหลือรอดออกมา “เจ้า...” จางอวี๋เซียน ตกใจตะลึงงัน ลมปราณของเขา อี้หยุนดูดซับได้ทั้งหมด!? เมื่อเห็นจางอวี๋เซียนคิ้วกระตุก เหลียนเฉิงอยู่ นึกว่า จางอวี๋เซียนกำลังโกรธ เขาเดินมาที่ด้านข้างของจางอวี๋เซียนด้วยสีหน้าบึ้งตึง ความคิดของเหลียนเฉิงอยู่มุ่งไปที่การคัดเลือกของเผ่าที่จางอวี๋เซียนกำลังดำเนินการ แต่แล้ว ดอกไม้วิปริตอย่างอี้หยุนก็สร้างความปั่นป่วนขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะถือว่าชีวิตของชนเผ่าเหลียนเป็นของสกปรก เขาก็ไม่ต้องการให้เผ่าเหลียนอับอายต่อหน้าบุคคลภายนอก มันจะส่งผลให้คนอื่นคิดถึงความต้อยต่ำของเขา เหลียนเฉิงอยู่ ฝืนใจยิ้ม “ท่านราชทูตผู้สูงส่ง งานเลี้ยงได้จัดขึ้นแล้ว พวกเราไปกินกันก่อนดีไหม?” เหลียนเฉิงอยู่ต้องการจะเบี่ยงเบนความสนใจของจางอวี๋เซียนจากเรื่องของอี้หยุน แต่แล้วจู่ๆ จางอวี๋เซียนก็คว้าไหล่ของอี้หยุนด้วยสองมือ เขาตรวจสอบอี้หยุนอย่างระมัดระวัง เผ่ายากจนในดินแดนรอบนอกอันกว้างใหญ่สามารถผลิตผู้มีความสามารถเช่นนี้? นอกจากนี้เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาก็มีความกล้าหาญและความมุ่งมั่นต่อวิชายุทธ เขาพิสูจน์ตนเองด้วยการลุกขึ้นยืนต่อที่สาธารณะ นอกจากนั้น เด็กหนุ่มคนนี้ยังซุกซ่อนพลังอยู่ภายในตัวเอง มันจุดประกายความสนใจของจางอวี๋เซียน “เจ้าดี ดีมากๆ! ข้าไม่เคยคิดว่า ข้าจะพบอัญมณีที่ยังไม่ได้เจียระไนที่ชนเผ่าเล็กๆในดินแดนรอบนอกอันกว้างใหญ่” จางอวี๋เซียน ไม่ตระหนี่คำชมเชยของเขา เสียงของเขาดังไปไกล อา? ด้านข้างของอี้หยุนคือ จ้าวเทียจู่ ผู้พร้อมที่จะเย้ยหยันอี้หยุนเมื่อคุณสมบัติเขาไม่ผ่าน ทันใดนั้นเขาเบิกตาโพลง เหมือนไก่ที่ถูกบีบคอ อะไร? นายท่านจางพูดอะไร? หรือข้าฟังผิดไป! เหลียนเฉิงอยู่ที่กำลังเชื้อเชิญให้จางอวี๋เซียงไปกินอาหาร ถึงกับยืนตะลึงงัน เขาไม่แน่ใจว่าจะตอบสนองอย่างไรไปชั่วขณะ ผู้คนที่อยู่รอบนอกไม่สามารถเห็นเหตุการณ์ ไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้น ความสนใจของพวกเขาถูกสะกิดขึ้นหลังจากได้ยินจางอวี๋เซียนชมเชยใครคนหนึ่ง “ใครกัน? ที่ได้รับคำชมเชยอย่างสูงนั้น” ผู้คนที่อยู่รอบนอกต่างเริ่มกระโดดแย่งชิงกันมอง “เจ้ามีร่างกายไร้รอยต่อ แม้จะอยู่ระดับต่ำกว่าโลหิตม่วง แต่การมีร่างกายไร้รอยต่อเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยม! เจ้าจะเป็นที่ชื่นชมแม้แต่ในชนเผ่าหญ่!” ร่างกายไร้รอยต่อ? คนทั้งหลายรวมทั้งเหลียนเฉิงอยู่ ไม่ทราบว่าอะไรคือ ร่างกายไร้รอยต่อ แต่ความไม่เข้าใจของพวกเขาไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ กับ ทัศนคติความเข้าใจของจางอวี๋เซียน “ยอดเยี่ยม” “อัญมณีที่ยังไม่เจียระไน” “เป็นที่ชื่นชมในชนเผ่าใหญ่”! แม้แต่จ้าวเทียจู่ ที่มีกระบวนความคิดอันอ่อนด้อยยังรับรู้ได้ว่า จางอวี๋เซียนให้การชื่นชมอี้หยุนเกินหน้า เหลียนเฉิงอยู่! ด้วยเหตุนี้ จ้าวเทียจู่ จึงรู้สึกราวกับว่าเขากินอุจจาระเป็นจินลงไป อาการทั้งหมดแสดงออกมาทางสีหน้าของเขา คนอื่นๆในเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ ต่างตกตะลึง อ้าปากค้าง “น้องข้า….” นัยน์ตาของเจียงเเสี่ยวโหรวคลอน้ำตา นางเป็นผู้เดียวที่คาดหวังว่า อี้หยุนจะทำได้ แต่ความสุขมาอย่างกะทันหันเกินไปจนนางแทบไม่มีปัญญาจะเชื่อถือมัน นางเห็นการเจริญเติบโตของเขาตั้งแต่เขาใส่ผ้าอ้อม นางไม่เคยรู้สึกว่าเขามีความสามารถ สิ่งที่จางอวี๋เซียนพูดเป็นความจริงหรือ? เจียงเเสี่ยวโหรว รู้สึกไม่แน่ใจแม้แต่การประเมินของเหลียนเฉิงอยู่ยังอ่อนด้อยกว่าน้องชายของนาง? “เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะในวิชายุทธ? เป็นไปได้อย่างไร!” เหลียนเฉิงอยู่กำหมัดแน่น เขาไม่อาจยอมรับมันได้ จางอวี๋เซียนชื่นชมอี้หยุนมาก เขาจัดเป็นอันดับหนึ่งในเผ่าเหลียนมาตลอด เขาจะยอมให้คนอื่นมาเกินหน้าเขาได้อย่างไร? นอกจากนี้ คนอื่นที่ว่ายังไปเจ้าข้าทาสนี่! “นี่...ท่านราชทูตผู้สูงส่ง ท่านจะบอกว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะทางวิชายุทธ? ท่านอาจผิดพลาด…..” ทุกคนสงสัยคำของจางอวี๋เซียน เพียงแต่จ้าวเทียจู่ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้จึงถามออกไปอย่างโง่งม จางอวี๋เซียนหันใบหน้าเคร่งขรึมมา และพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าสงสัยข้า?” “เอ่อ….” จ้าวเทียจู่ตกใจ รีบส่ายศีรษะ “ไม่ ข้าไม่กล้า ข้าน้อยไม่กล้า” จางอวี๋เซียนเหลือบไปมอง จ้าวเทียจู่ อย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “ข้ามีเวลาจำกัด ใน 1 ชั่วโมงผู้ที่ได้รับคัดเลือกต้องมารวมกันที่นี่ ข้าจะสอนวิชายุทธให้เจ้าเป็นเวลา 3 วัน!” พูดจบ จางอวี๋เซียนก็ผละจากไป เขาไม่สนใจต่องานเลี้ยงต้อนรับ จ้าวเทียจู่ เหลียนเฉิงอยู่ และคนอื่นๆที่เหลือในเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ จ้องมองด้วยความสับสนเป็นที่สุด พวกเขามองอี้หยุนราวกับตัวประหลาด พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริง! อี้หยุนผ่านการคัดเลือกรอบแรก ได้รับคำชมเชยอย่างสูง เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? “หยุนเอ๋อร์!” เจียงเเสี่ยวโหรวเห็น เหลียนเฉิงอยู่จ้องตาเขม็งราวกับจะให้ทะลุร่างอี้หยุน นางรีบวิ่งไปข้างหน้าแล้วดึงอี้หยุนให้มาอยู่ข้างๆนาง ด้วยความกังวลใจ “ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อ! นายท่านพูดว่า ข้าไม่เหมาะกับวิชายุทธ แต่กลับบอกว่าเจ้าเด็กนี่เป็นอัญมณี หรือร่างกายอะไรเนี่ย ข้าสามารถยกลูกกลิ้งหิน 400 จิน แต่เจ้าเด็กนี่แค่ถือไก่ก็ยังกำไม่แน่น แล้วข้าไม่อาจเทียบกับมัน?” ชายร่างเตี้ยล่ำเริ่มตะโกน คำพูดของเขาเป็นการตอบสนองอันน่าประหลาดใจ “ข้าไม่มีอะไรเทียบเจ้าเด็กนี่ได้? ข้าไม่เชื่อ!” “เจ้าเด็กนี่โชคดีเป็นบ้า!” คนจากเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น แต่กลับถูกล้างด้วยการตรวจสอบเบื้องต้นของจางอวี๋เซียน อี้หยุนเป็นเพียงคนเดียวที่ได้การชมเชยอย่างสูง พวกเขากำลังไม่พอใจมาก ถึงจุดนี้ จ้าวเทียจู่เดินไปหาอี้หยุนแล้วพูดว่า “ไอ้หนูไม่ต้องภูมิใจให้มากนัก นายท่านอาจทำพลาดก็ได้ เจ้าคิดว่าพวกเราไม่รู้? ว่าเจ้ามันขี้โรคมาแต่เด็กเหมือนลูกไก่เล็กๆ เจ้าไม่สามารถยกหินหนักแม้สัก 50 จินได้ เกือบตายตอนเก็บสมุนไพร คนแบบนี้เป็นอัจฉริยะทางวิชายุทธ? ส้น(ตีน)ซิ!” จ้าวเทียจู่ไม่ผิด เด็กอายุเท่ากับอี้หยุนสามารถยกน้ำหนักหินได้ 50 จิน แต่เขาแทบจะไม่สามารถยกหินหนัก 30 จินได้ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการประเมินว่า “ร่างกายไร้รอยต่อ” อี้หยุนมีผลึกม่วงกับความรู้สึกอันเฉียบคมจากการเข้าสู่ขอบเขตชีพจรสัมพันธ์ แล้วจึงเดาได้ว่า จางอวี๋เซียนทำอะไร เขาส่งลมปราณ เข้าไปในร่างกายเพื่อทดสอบความสามารถของบุคคล พลังปราณนั้น ถูกดูดซับโดยผลึกม่วง จนทำให้จางอวี๋เซียน เข้าใจผิดโดยสุจริต เกี่ยวกับความสามารถของเขา ร่างกายของเขาไม่มีอะไรที่ผิดไปจากปกติแน่นอนว่า ไม่มี ร่างกายไร้รอยต่อ อัจฉริยะด้านวิชายุทธที่แท้จริง ไม่ใช่ผู้มีสภาพร่างกายไม่ดีเช่นอี้หยุน หากแต่ร่างกายมีความสัมพันธ์สูงกับพลังงาน มันจะดูดซับพลังงานจากสภาพแวดล้อมในลักษณาการที่มองไม่เห็น ทำให้ร่างกายเติบโตแข็งแรง จะคาดหวังเด็กยากไร้หิวโหยคนหนึ่งที่เติบโตขึ้นมาในดินแดนรอบนอกอันกว้างใหญ่ว่าเป็นอัจฉริยะได้อย่างไร? แน่นอนว่า อี้หยุนเข้าใจ แต่เขาตัดสินใจยอมรับชื่อว่าเป็นอัจฉริยะ มันเป็นวิธีที่ดีที่จะอธิบายตนเองเมื่อเขาเผยให้เห็นความแข็งแกร่งของเขา อี้หยุนมองไปที่ จ้าวเทียจู่ด้วยรอยยิ้มจางๆ เมื่อเห็นอี้หยุนทำเช่นนั้น จ้าวเทียจู่จ้องกลับด้วยความรังเกียจ “อะไร? ไม่พอใจ? ถ้าไม่พอใจ ก็มาสู้กับข้า นิ้วเดียวก็อัดเจ้าได้ เพิ่มผมอีกเส้นก็เอาชนะเจ้าได้แล้ว!” จ้าวเทียจู่ ยังกรุ่นโกรธ เขาต้องการสั่งสอนอี้หยุน แต่อี้หยุนตอบอย่างใจเย็น “ลุงเทจู เจ้ากินต้นไทรใหญ่เรียบร้อยแล้ว?” ตีเข้าที่สำคัญด้วยประโยคเพียงประโยคเดียว! คำเย้ยหยันที่วางแผนจะพูดของจ้าวเทียจู่ ติดอยู่แค่ลำคอ นิ่งเงียบสนิท ตาที่จ้องมองเขาเหมือนปลาตายอยู่บนพื้นดิน “แล้วอีกคน เจ้าจะกินลูกกลิ้งหิน?” “โอ้...แล้วอีกคนก็จะดื่มน้ำในแม่น้ำตะวันออก” อี้หยุนกล่าวด้วยท่าทางขบขัน ร่างกายเขาเล็กและบาง ใบหน้ายังคงเป็นเด็กๆอยู่ มันดูเหมือนไม่มีความสามารถก่อพิษภัยใดๆได้ แต่ทุกๆคำพูดกับแฝงไว้ด้วยอำนาจทำลายล้าง สมาชิกเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ ปฏิเสธไม่ยอมรับอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูดไว้ ทุกคำพูดที่พวกเขากล่าวไว้ต่อหน้าคนทั้งเผ่าได้กลับมาตีแสกหน้าพวกเขาเอง “เพื่อนๆ ข้าน้อย ขอให้เรากลับไปพักผ่อน ข้าต้องเตรียมการสำหรับฝึกวิชายุทธกับนายท่านจาง แล้วท่านนายน้อยเหลียน ข้าน้อยต้องการฝึกวิชายุทธ ข้าจะสามารถออกจากการกลั่นกระดูกเดียวดายได้ไหม?” อี้หยุนถามอย่างจริงจัง ใบหน้าเหลียนเฉิงอยู่ ดำมืด มันกล้า? “แน่นอน การฝึกวิชายุทธเป็นสิ่งสำคัญมาก” เมื่อพูดคำเหล่านี้ เหลียนเฉิงอยู่ รู้สึกราวลำไส้ถูกบิด

ไฟล์เสียหรือถูกลบบอกด้วยนะครับ เดียวจะเเก้ให้ สวนมีความเห็นอะไรหรืออย่าดูเรื่องไรก็โพทย์บอกได้