Ancient Godly Monarch บทที่ 2 เเทนคุณด้วยโทษ

อากาศยามเช้าบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ฉินเวิ่นเทียนเข้าสมาธิทั้งคืน รู้สึกถึงความสดชื่นและแจ่มใสของร่างกายอย่างยิ่ง จากผลพวงของการไม่ยินยอมดูดซับพลังฟ้าดิน ทำให้ร่างกายของมันอ่อนแอยิ่งนัก ทว่าฉินเวิ่นเทียนกลับออกวิ่งทุกเช้า ใช้วิธีที่เก่าแก่และพื้นฐานที่สุดในการฝึกฝนร่างกาย ข้าทาสของสกุลไป๋ทุกคนล้วนเห็นสิ่งที่เขาทำในทุกวัน แต่แรกก็เห็นว่าเป็นวิธีที่แปลกประหลาดไปบ้าง แต่ก็เคยชินในเวลาไม่นานนัก กูแหย(บุตรเขย)ไม่อาจฝึกพลังยุทธได้ แม้แต่ด้วยวิธีที่ด้อยที่สุดก็ตาม ดังนั้นการวิ่งของมันจึงดูเหมือนการพยายามเพาะสร้างร่างกายให้เข้าสู่ชั้นฝึกกาย ล้วนเป็นความคิดโง่เขลา ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ข้าทาสของสกุลไป๋ยังดูถูกกูแหยผู้นี้ หากมิใช่มันโชคดีเกิดมาเป็นบุตรของสกุลฉิน ประมุขสกุลไป๋ไม่มีทางเลือกกูแหยสวะผู้นี้แน่นอน “ฟังว่าคืนวานคุณหนูใหญ่สำเร็จพลังกลายเป็นผู้ฝึกยุทธประกาย ข้ายังสงสัยว่าการหมั้นหมายนี้จะมีผลต่อไปหรือไม่?” เหล่าข้าทาสที่มองเห็นฉินเวิ่นเทียนวิ่งออกกำลังกายต่างกระซิบกระซาบ “ใช่ๆ ข้าฟังว่าเมื่อคืนเหล่าผู้เฒ่าของตระกูลเร่งประชุมเป็นการด่วนเพื่อกระจายข่าวนี้ออกไป ข่าวว่าคุณหนูใหญ่บรรลุสัมพันธ์กับดาวจากชั้นฟ้าที่สาม ทอดตามองทั่วหล้ายังถือว่าเป็นอัจฉริยะอย่างยิ่ง” “นั่นก็ใช่แล้ว คนเปิดประตูดาราจักร(ซิงเหมิน)เก็บกักจิตดารา หากแม้ไม่มีพรสวรรค์ย่อมมิอาจควบกลั่นจิตดารา(ซิงหุน)ได้ แต่คุณหนูใหญ่กลับสามารถหลอมสร้างจิตดาราจากชั้นฟ้าที่สามได้ ต่อไปภายหน้า คุณหนูใหญ่ฝึกฝนวิชาในชั้นฝึกกายทั้งเก้าชั้นย่อย เข้าสู่ชั้นเลือดลมหมุนเวียน เปิดประตูดาราจักรได้อีกครั้ง ย่อมสามารถดึงดูดพลังจากชั้นฟ้าที่สามได้อีกเป็นอย่างน้อย น่ากลัวเกินไปแล้ว ยิ่งคิดว่านางเปิดประตูดาราจักรได้อีกครั้ง…” “ไม่เพียงเท่านั้น พลังของจิตดาราจากชั้นฟ้าที่สามเทียบกับชั้นฟ้าที่หนึ่งแล้วต่างกันอย่างยิ่ง เมื่อสามารถชักนำพลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นมาได้ ตัวสวะนั่นคงสิ้นท่าแล้ว” สิ่งที่พวกมันไม่รู้ก็คือคำนินทาทั้งหลาย ฉินเวิ่นเทียนล้วนแต่ได้ยิน มันฝึกสมาธิมาหลายปี ประสาทสัมผัสเหนือกว่าคนทั่วไปมากนัก เสียงเล็กน้อยกลับกลายเป็นดังกระหึ่ม แต่มันกลับไม่ใส่ใจกับวาจาไร้สาระประดานี้ มันรู้จักกันชิวเสวียมาสามปีแล้ว ทั้งยังสนิทสนมกันอย่างยิ่งประหนึ่งเป็นญาติมิตร แม้ชิวเสวียไม่ชมชอบมันก็หาเป็นไรไม่ อย่างไรเสียทั้งสองบ้านก็สามารถจัดการให้ลงตัวได้ แม้งานแต่งจะล่มก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียชิวเสวียก็เป็นเหมือนน้องสาวของมันคนหนึ่ง “อีกเจ็ดวันเป็นงานวันเกิดครบห้าสิบปีของไป๋ซู(ท่านอาไป๋) หากข้าสำเร็จการเพาะสร้างจิตดาราในวันนั้นได้ นั่นคงเป็นของขวัญที่ดีสำหรับท่านลุงแล้ว” ฉินเวิ่นเทียนยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง ทุกคนต่างคิดว่ามันไม่อาจฝึกฝนวิชาด้วยชีพจรสะบั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเฮยป๋อที่สอนให้มันสะบั้นชีพจรแรกกำเนิด ฉินเวิ่นเทียนไม่เคยสงสัยในคำพูดของเฮยป๋อมาก่อน และด้วยวิธีของเฮยป๋อมันสามารถช่วยให้ชิวเสวียเพาะสร้างจิตดาราจากชั้นฟ้าที่สามได้ แต่เฮยป๋อกลับเก็บตัวเงียบและไม่อนุญาตให้มันเอ่ยถึงเฮยป๋อของมันต่อผู้ใด ฉินเวิ่นเทียนหยุดฝีเท้าลงหลังจากเดินมาถึงหน้าคฤหาสน์ของไป๋ชิงซงโดยไม่รู้ตัว “เวิ่นเทียน” เสียงเรียกดังเข้ามาพร้อมกับเงาร่างของไป๋ชิงซง มันมองที่ฉินเวิ่นเทียนถามว่า “วิ่งอีกแล้วหรือ?” “ขอรับ” ฉินเวิ่นเทียนพยักหน้า “ชิวเสวียเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยากพบนาง” “เวิ่นเทียน ถึงจะบำเพ็ญพลังไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่าได้ฝืนตนเองเกินไปนัก” ไป๋ชิงซงไม่ตอบคำถามของมัน ฉินเวิ่นเทียนตระหนก ก่อนจะสงบใจลงตอบว่า “ข้าจะฝึกให้หนักขึ้น” “เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนตนเองเช่นนั้น อันที่จริงเป็นคนธรรมดา สร้างครอบครัวแล้วมีชีวิตอย่างสงบสุขกลับเป็นทางเลือกที่ดีประการหนึ่ง” ไป๋ชิงซงพูดต่อ ทำให้ฉินเวิ่นเทียนเย็นวาบไปทั้งร่าง ก่อนมองไป๋ชิงซงเสมือนว่ามันกำลังพูดคุยกับคนแปลกหน้า “ขอรับ” ฉินเวิ่นเทียนฝืนยิ้ม กล่าวว่า “ไป๋ซู ข้าขอตัวก่อน” “อืม จำไว้ว่าสองสามวันนี้อย่าวิ่งวุ่นวาย” ไป๋ชิงซงพูดเบาๆ หลังจากฉินเวิ่นเทียนลาจาก มันก็ไม่อนุญาตให้ไป๋ซิงซงหรือชิวเสวียเข้าพบเลยเป็นเวลาสองวัน ขณะที่ข่าวของชิวเสวียสำเร็จการเพาะสร้างจิตดารากระจายไปทั่วทั้งนครเทียนยง สามวันผ่านไป หลังฉินเวิ่นเทียนสำเร็จสมาธิในยามเช้า เมื่อเดินออกมาข้างนอก มันพบว่ามีคนเฝ้าประตูสองคนขวางทางมันอยู่ มันตะลึงงันก่อนถามด้วยเสียงเย็นชา “เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” “ภายนอกสับสนวุ่นวาย ทางที่ดีนายน้อยฉินพักผ่อนอยู่ที่นี่เงียบๆสักหลายวัน” คนเฝ้าประตูผู้หนึ่งตอบกลับอย่างเย็นชา ฉินเวิ่นเทียนยิ่งตระหนกตกใจ ก่อนนี้คนของสกุลไป๋ต่างเรียกมันด้วยความเคารพว่ากูแหย(นายเขย) แต่บัดนี้ นายประตูผู้นี้กลับบังอาจพูดกับมันด้วยเสียงกระด้างกระเดือง ที่ฉินเวิ่นเทียนสนใจย่อมไม่ใช่ตำแหน่งกูแหย(นายเขย) แต่เป็นน้ำเสียงที่ซ่อนในวาจาประดานี้ต่างหาก “เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเวิ่นเทียนเย็นวาบไปทั่วร่าง ตั้งแต่มันช่วยเหลือให้ชิวเสวียสำเร็จการเพาะสร้างจิตดารา ดูเหมือนว่าทุกสิ่งจะกลับตาลปัตร “นายน้อยฉินคิดถึงเรื่องของตัวเองดีกว่า เชื่อฟังคำสั่งแล้วเก็บตัวอยู่ที่นี่ซะ” “เจ้ากล้า?” ฉินเวิ่นเทียนตวาด “ข้าต้องการพบไป๋ซู” เห็นดังนั้น คนเฝ้าประตูผู้หนึ่งพลันแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาจ้องมองฉินเวิ่นเทียนก่อนเอ่ยว่า “สวะ ข้าจะบอกอีกครั้ง ทางที่ดีเจ้าเก็บตัวในบ้านเสีย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นกูแหยของเราจริงๆกระมัง?” ฉินเวิ่นเทียนใจหายวาบ มันมิใช่คนโง่ ไยจะไม่ทราบว่าเกิดอันใดขึ้น มันถูกกักบริเวณแล้ว เมื่อนึกถึงสิ่งที่ไป๋ซูกล่าวเมื่อคืนก่อน มันรู้ทันทีว่าสกุลไป๋หมายจะล้มพันธะหมั้นหมาย “ไป๋ซู หากต้องการยกเลิกการหมั้นหมาย ไยจึงไม่บอกข้าตรงๆเล่า” ฉินเวิ่นเทียนพูดกับตัวเองในใจ มันรู้สึกเหมือนใจจะขาดรอน หรือสามปีแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมันกับสกุลไป๋นั้นเป็นเพียงการแสดง? ฉินเวิ่นเทียนรู้ดีว่าเหตุผลที่ทางสกุลไป๋ต้องการหมั้นหมายกับมันนั้นเป็นเพื่อพึ่งพิงอำนาจของสกุลฉิน แต่เมื่อสกุลไป๋บังอาจกระทำการเช่นนี้… “หุบปาก!” เสียงตวาดดังมาแต่ไกล เมื่อฉินเวิ่นเทียนเหลียวมอง พบว่าไป๋ฉิงนั้นวิ่งมาหามันก่อนลากมันกลับเข้าที่พัก “เวิ่นเทียนเกอเกอ” ดวงตาของไป๋ฉิงแดงระเรื่อด้วยหยดน้ำตา มองหน้าฉินเวิ่นเทียนกล่าวว่า “เวิ่นเทียนเกอเกอ สกุลไป๋ของข้าทำให้ท่านผิดหวังแล้ว” “ข้าไม่เข้าใจ” ฉินเวิ่นเทียนว่า “ฉิงเอ๋อร์ ข้าอยากพบพ่อของเจ้า หากท่านไม่ต้องการหมั้นหมายนี้ ข้าบอกท่านพ่อบุญธรรมให้มาพูดคุยกันก็ได้ ข้า ฉินเวิ่นเทียน ย่อมไม่บังคับให้ใครทำสิ่งที่ตนไม่อยากทำอยู่แล้ว” “เวิ่นเทียนเกอเกอ พ่อข้า….สกุลไป๋...ทั้งหมดอาจต้องการสังหารท่าน” น้ำตาไหลลงอาบสองแก้มของไป๋ฉิง เสียงนางสั่นเครือ คำพูดนางนั้นเป็นเช่นสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจ ทำให้มันตะลึงงัน “สังหารข้า?” “ทำไม?” ฉินเวิ่นเทียนงงงัน มันไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น “อย่ามัวแต่ถามอยู่เลย เวิ่นเทียนเกอเกอ รีบหนีไปเถิด” ไป่ฉิงร้องวิงวอนทั้งน้ำตา เวิ่นเทียนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนถามว่า “ข้าถูกจองจำไว้ จะหนีไปได้อย่างไร?” “ข้าเตรียมม้าไว้ให้ท่านที่ประตูหลังแล้ว ท่านจับข้าเป็นตัวประกันแล้วหนีไปเถอะ” ไป๋ฉิงหยิบมีดขึ้นมอบแก่ฉินเวิ่นเทียน ก่อนขยับเข้าไปใกล้มัน “ท่านประมุข” ด้านนอกที่คุมขังของฉินเวิ่นเทียน เสียงพูดดังขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้าจำนวนมาก ทำให้ใบหน้าของไป๋ฉิงซีดเผือดลงด้วยความกลัว “เวิ่นเทียนเกอเกอ รีบด่วนด้วย” “ฉิงเอ๋อ บอกเหตุผลข้ามา” ฉินเวิ่นเทียนจ้องไป๋ฉิงเขม็ง เค้นคำพูดออกทีละคำ ไป๋ฉิงรีบตอบกลับ “หลังเจี่ยเจียได้รับการขนานนามเป็นอัจฉริยะ คืนนั้นมีข่าวปล่อยออกไปทั่วรัฐฉู่ ตระกูลเย่ในนครหลวงถึงกับยื่นข้อเสนอหมั้นหมาย” “สกุลเย่แห่งนครหลวง” นัยน์ตาของฉินเวิ่นเทียนยิ่งเย็นเยียบ “พวกมันเป็นศัตรูคู่อาฆาตของสกุลฉินเรา สกุลไป๋ต้องการชีวิตข้าเพื่อยืนยันกับพวกมันว่าตัดขาดจากสกุลฉินแล้วสินะ หมายจะใช้ชีวิตข้าเป็นของขวัญให้กับสกุลเย่เช่นนั้นหรือ” “เว่นเทียนเกอเกอ ข้าขอร้อง หยุดพูดเถิด” ไป๋ฉิงยัดเยียดมีดลงในมือของฉินเวิ่นเทียน แต่ฉินเวิ่นเทียนได้แต่ส่ายหน้า ส่งยิ้มบางเบาให้กับนาง กล่าวว่า “ข้า ฉินเวิ่นเทียน แม้จะไร้เรี่ยวแรง ยังคงไม่ย่ำแย่ถึงขนาดต้องจับมีดหันใส่เจ้ากระมัง” ไป๋ฉิงหน้าซีดเผือดเมื่อประตูถูกเปิดเข้า “ไป๋ฉิง มานี่” ไป๋ชิงซงพูดเสียงเย็นเยียบ “ไม่ ฟู่ชิน(ท่านพ่อ) เจี่ยเจียสามารถสังเคราะห์จิตดาราจากชั้นฟ้าที่สามได้เพียงเพราะเวิ่นเทียนเกอเกอช่วยเหลือ ไยเราต้องแทนคุณด้วยโทษเช่นนี้?”ไป๋ฉิงเถียงกับบิดา “เจ้ารู้อะไร? เจี่ยเจียเจ้ามีพรสวรรค์เกินกว่าจินตนาการ นางควบกลั่นจิตดาราจากชั้นฟ้าที่สามได้ด้วยความสามารถของนาง ด้วยความพยายามของนางเอง นางไปต้องการความช่วยเหลือตั้งแต่เมื่อใด?” ไป๋ชิงซงพูดด้วยเสียงราบเรียบขณะจับจ้องไป๋ฉิง “ฉิงเอ๋อร์ ฟังข้า เจ้ายังเล็กไม่รู้ประสา กลับมานี่เสีย” “ฉิงเอ๋อร์ ไปเถอะ” ฉินเวิ่นเทียนคลี่ยิ้มให้กับไป๋ฉิง ทำให้นางตะลึงงัน กระซิบว่า “เวิ่นเทียนเกอเกอ” “จำที่ข้าสอนไว้ให้ดี” ฉินเวิ่นเทียนลูบผมของไป๋ฉิงอย่างอ่อนโอน ก่อนผลักนางเบาๆไปหาไป๋ชิงซง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากล่าวว่า “ไป๋ซู ท่านต้องการเช่นใด?” “ฉินเวิ่นเทียน เจ้าเศษสวะฟ้าประทาน แม้แต่เจตนาเจ้ายังน่าเคลือบแคลงนัก หลอกลวงบุตรสาวข้าเช่นนี้ บอกข้ามาว่าข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดี?” ไป๋ชิงซงในตอนนี้เป็นเช่นคนแปลกหน้า ฉินเวิ่นเทียนเพียงตอบด้วยเสียงหัวร่อ เมื่อความหวังใยสุดท้ายขาดสะบัด มันมองไป๋ชิงซงแล้วถามว่า “ข้าเพียงต้องการทราบ ว่าชิวเสวียเห็นว่าอย่างไร?” “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” ไป๋ชิงซงตอบเสียงเย็น จิตสังหารพวยพุ่งออกจากร่าง “ถ้าวันนี้ข้าตายในสกุลไป๋ ไม่ว่าด้วยเหตุอันใด ข้าพนันได้ว่าอี้ฟู่(พ่อบุญธรรม)จะนำกำลังเข้าถล่มสกุลไป๋ให้ราบเป็นหน้ากลอง” ฉินเวิ่นเทียนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้ซึ่งความเกรงกลัวในดวงตา ฉับพลัน ความเคลื่นไหวอันนุ่มนวลก่อนหน้าของมันกลายเป็นความแข็งกร้าวในทันที “ไป๋ซู สกุลไป๋ยังไม่อาจต้านทานสกุลฉินข้าได้ ข้าเตือนท่าน อย่าได้แตะต้องข้า” ไป๋ชิงซงตะลึงงัน มันจ้องมองฉินเวิ่นเทียน เมื่อเห็นว่าเด็กตรงหน้ายังคงแสดงทีท่าแข็งกร้าวต่อหน้ามัน ไป๋ชิงซงหันหลังจากไป กล่าวว่า “พาคุณหนูรองกลับไป อย่าให้นางออกมาวุ่นวายได้อีก ส่วนฉินเวิ่นเทียน ข้าไม่อนุญาตให้มันออกจากประตูบ้านหลังนี้”

ไฟล์เสียหรือถูกลบบอกด้วยนะครับ เดียวจะเเก้ให้ สวนมีความเห็นอะไรหรืออย่าดูเรื่องไรก็โพทย์บอกได้