ทั้งสองฝ่ายต่างมองหน้ากันและกัน เหลียนเฉิงอยู่กับอี้หยุน มาถึงจุดที่ไม่อาจปรองดอง
กันได้อีกแล้วศัตรูคนแรกของอี้หยุนในโลกใบนี้ก็คือเหลียนเฉิงอยู่
“เหลียนเฉิงอยู่ตอนนี้ข้าต้องการสู้กับเจ้า!”
อี้หยุนพูดขึ้นในใจ สำหรับเขาที่ต้องอดทนมาเป็นระยะเวลานาน ในที่สุดเขาก็ได้รับพลังที่ต้องการมาแล้ว ตอนนี้แม้ว่าเหลียนเฉิงอยู่กับเหยาหยวนร่วมมือกันจู่โจม เขาก็ไม่มีอะไรที่ต้องเกรงกลัวอีก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่อี้หยุนปรารถนาที่จะทำก็คือ จัดการกับเหลียนเฉิงอยู่
อย่างไร้ความปราณีหากเป็นไปได้เขาก็ต้องการทำลายชีวิตของเหลียนเฉิงอยู่!
ไอ้สารเลวน้อย เจ้ากำลังทำนรกอะไรอยู่?
เหลียนเฉิงอยู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอี้หยุน ทุกอย่างที่เขารู้สึกก็คือ เจ้าเด็กนี่ผิดแปลกไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อาจบอกได้ว่าอะไรที่ผิดแปลกไป
“ฮึ่ม…เจ้ามองข้าหาอะไร? อยากบอกข้าว่าเจ้าต้องการสู้กับข้า? เจ้ามีความสามารถพอ
งั้นรึ!”
เหลียนเฉิงอยู่บังคับเสียงเป็นเส้นสาย ส่งไปถึงหูของอี้หยุนจากระยะทางนับสิบฟุต
อี้หยุนไม่รู้เคล็ดวิชาเล็กๆน้อยๆนี้ หากจะพูดกับเหลียนเฉิงอยู่เขาก็ต้องตะโกน ซึ่งมันจะทำให้เขาดูโง่เขลา
“ข้าจำเป็นต้องเรียนเคล็ดวิชานี้ให้ได้”
จากนิยายกำลังภายในที่เขาเคยอ่านมาในอดีต อี้หยุนรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้
เยี่ยมยุทธ ผู้ซึ่งเปิดเส้นลมปราณเริ่นตูทั้งสองแล้วจะเรียนรู้ได้
แต่การที่ไม่สามารถพูดโต้ตอบได้ก็ไม่ได้หมายความอี้หยุนจะไม่มีวิธีเขาจึงยื่นมือออกมาและยกนิ้วกลางให้เหลียนเฉิงอยู่
แม้แต่ในโลกใบนี้การยกนิ้วกลางก็คือการแสดงความดูหมิ่นและการยั่วยุ
ใบหน้าเหลียนเฉิงอยู่ค้างแข็ง “เจ้าได้ตายแน่!”
อี้หยุนเพียงยิ้มเยาะและไม่สนใจเหลียนเฉิงอยู่อีกต่อไป
ยโสโอหัง งั้นรึ? ถูกต้อง มันคือความยโสโอหัง!
อี้หยุนไม่ใช่บุคคลที่ใครจะต้องระวัง ในอดีตที่ผ่านมาเขาไม่เป็นที่สังเกตเห็น เพราะเขาไร้ความแข็งแกร่งและมีเพียงความอดทนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาแข็งแกร่ง ไม่มีผู้ใดในเผ่าเหลียน สามารถเป็นภัยคุกคามความแข็งแกร่งของเขาได้อีกต่อไป
เวลานี้จะยังจำเป็นต้องทนอะไรอยู่อีกงั้นรึ?
“เจ้าข้าทาสน้อย เจ้ากล้าทำไม่สุภาพอย่างนั้นกับเจ้านายของเจ้าได้อย่างไร?”
เทาอวิ๋นเซียวที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นสังเกตเห็นการกระทำของอี้หยุน เขาจำได้ว่าเหลียน
เชิงอวี๋เคยบอกไว้ว่า อี้หยุนเป็นคนของเผ่าเหลียน
สำหรับเทาอวิ๋นเซียว การเป็นคนในเผ่าก็เทียบได้กับเป็นข้าทาส การที่ข้าทาสยกนิ้วกลางไปที่เหลียนเฉิงอยู่เป็นการกระทำที่โอหังบังอาจสมควรตายเป็นอย่างยิ่ง
เทาอวิ๋นเซียวเป็นชนชั้นปกครองที่คล้ายกันกับเหลียนเฉิงอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจทนต่อ
การกำเริบเสิบสานของข้าทาสที่มีต่อเจ้านายได้ เพราะว่าเขาก็เป็นเจ้านายผู้หนึ่งเช่นกัน
“เจ้าเด็กนี่เจ้าแน่ใจแล้วรึที่จะโอหังบังอาจเช่นนี้”
เทาอวิ๋นเซียวก็รู้วิธีบังคับเสียงเป็นเส้นสาย เขาจงใจรวบรวมความก้าวร้าวเข้าไปภายใน
เส้นเสียง เป็นราวกับเข็มเข้าทิ่มตำแก้วหูของอี้หยุน
อี้หยุน เหลือบไปมองเทาอวิ๋นเซียวทันที
สำหรับผู้คนที่หยิ่งผยองมาก โลกต้องยอมรับการหยิ่งผยองของเขาเท่านั้น หากมีผู้ใดหยิ่งผยองยิ่งไปกว่าเขา มันก็จะกลายเป็นการท้าทายอำนาจของเขา เขาจะไม่พอใจและพุ่งเป้าที่จะทำลายอีกฝ่าย
แม้ว่าอี้หยุนจะไม่ได้เกลียดชังเทาอวิ๋นเซียว เหมือนกับที่เกลียดชังเหลียนเฉิงอยู่
แต่อี้หยุนก็คิดว่า เจ้าเด็กคนนี้สมควรถูกตีสั่งสอนซะบ้าง ในเมื่อเขาไม่รู้วิธีส่งผ่านเสียง เขาก็ยังสามารถที่จะยื่นมือเล็กๆ และยกนิ้วกลางให้เทาอวิ๋นเซียว
เขาก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในจุดสูงสุดของปราณชีวันรวบรวม และเทาอวิ๋นเซียวก็ยังไม่ได้ก้าวผ่านเข้าสู่ขอบเขตโลหิตม่วง แล้วเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบนี้ดังนั้นระดับการบ่มเพาะเหมือนๆกัน จำเป็นต้องมีใครกลัวใครด้วย?
“บัดซบ!”
บนหน้าผากของเทาอวิ๋นเซียวปรากฎเส้นเลือดก่อตัวโป่งพองขึ้น เขาไม่เคยคิดว่าข้าทาสเล็กๆนี่จะโอหังบังอาจเช่นนี้มันทำให้เขาเดือดดาลยิ่ง! เจ้าได้ตายแน่!
“เป็นความจริงที่ลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือ เจ้าไม่รู้จักว่าข้าเป็นใครใช่ไหม? ดีมาก!ข้าจะทำให้แน่ใจว่า เจ้าจะต้องเสียใจในการกระทำของตัวเองไปชั่วชีวิต!”
เทาอวิ๋นเซียวคำรามด้วยความโกรธ
อี้หยุนหัวเราะ เพราะวลีที่เทาอวิ๋นเซียวใช้มันเหมาะกับที่จะใช้กับตัวเขาเองมากกว่า
เด็กอายุสิบสี่ปี ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ของความพ่ายแพ้ ที่ไม่รู้จักขีดจำกัดของตนเอง
และในจิตใต้สำนึกคิดว่าพวกเขาแตกต่างจากผู้คนส่วนใหญ่ในโลก แม้จะปัญญาอ่อน ก็คิดแบบเดียวกัน
เทาอวิ๋นเซียวคิดแบบนั้น เขายกย่องตัวเองว่าเป็นคนพิเศษ เป็นเจ้านายรุ่นใหม่ผู้จะก้าว
ออกไปจากอาณาจักรไทอา
อี้หยุนไม่สนใจเทาอวิ๋นเซียว และเริ่มก้าวยาวๆไปที่เขาสัตว์อสูร! เขายังดูดซับพลังงานไม่เสร็จสิ้น!
พลังงานที่ผลึกม่วงดูดซับมาแล้วทั้งหมด ได้ใช้ไปในการก้าวผ่านเข้าสู่จุดสูงสุดของปราณชีวันรวบรวม ดังนั้นตอนนี้อี้หยุนรู้สึกว่าร่างกายของเขาขาดพลังงาน อยู่ในสภาพว่างเปล่า มีเพียงคนโง่เขลาเท่านั้น ที่จะไม่ดูดซับพลังงานจากแหล่งพลังงานคุณภาพสูงที่อยู่ตรงหน้า
อี้หยุนไม่เพียงต้องการแค่จะดูดซับเท่านั้น แต่เขาต้องการจะดื่มกินให้อิ่ม!
สำหรับความห้าวหาญอันน่าอึดอัดไม่สบายอย่างมากของเจ้าพยัคฆ์อำมหิต ที่ได้รับก่อนหน้านี้ในตอนนี้มันสบายมากสำหรับอี้หยุน นอกจากนี้ความกดดันที่มีอยู่มันยังทำให้เขาดูดซับพลังงานได้มากยิ่งขึ้น และยังมีประสิทธิภาพในการบังคับให้พลังงานที่ดูดซับด้วยผลึกม่วง เข้าสู่กล้ามเนื้อและโลหิตของเขาได้เร็วยิ่งขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เป็นธรรมดาอยู่เองที่อี้หยุนต้องการเข้าไปให้ใกล้กับเขาสัตว์อสูรนั้น
เมื่อเห็นอี้หยุนเริ่มก้าวเดิน เทาอวิ๋นเซียวก็ยิ้มอย่างดูแคลน
“เจ้าข้าทาสน้อย เจ้าแน่ใจนะว่าจะรั้นไปต่อ ข้าก็ต้องการดูว่าเจ้าจะสามารถไปไกลได้แค่ไหน ทำไมเจ้าไม่เช็ดเหงื่อบนร่างออกซะก่อนล่ะ?”
คำพูดของเทาอวิ๋นเซียวเต็มไปด้วยการเหน็บแนม
แต่อี้หยุนก็ไม่สนใจ เขาเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า ถึงแม้ว่าการก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวจะเป็นเรื่องง่าย แต่ความเร็วของเขาก็ไม่เร็วเลย เพราะเขาต้องการจะดูดซับพลังงานจากเขาสัตว์และยังต้องการที่จะใช้แรงกดดัน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย
หลังจากใช้เวลาครู่หนึ่งเหลียนเฉิงอยู่ก็สามารถลุกขึ้นได้
มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าเมื่อเจ้าพยัคฆ์อำมหิตส่งคลื่นแรงกดดันออกมา คนสารเลวผู้นี้ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังแข็งแกร่งพอที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่หากพูดเช่นนั้น มันก็จะเป็นการพูดด้วยความใจแคบและความริษยา
เหลียนเฉิงอยู่นั้นมีความวิริยะ และมีความมานะอุตสาหะในวิชายุทธ จึงสามารถทำ
เช่นนั้นได้อี้หยุน เหลียนเฉิงอยู่และเทาอวิ๋นเซียว ต่างก็เริ่มต้นเดินตรงไปยังเขาสัตว์อสูรตอนนี้เหลือคนอยู่เพียงแค่สิบสองคนซึ่งไม่มากนัก แต่พวกเขาต่างก็ยังทรุดอยู่กับพื้นดินหลายคนที่มีคุณสมบัติผ่านเส้นยี่สิบก้าวมาแล้ว แต่ก็ได้รับบาดเจ็บและถูกผลักดันกลับไปด้วยกลิ่นอายก่อนหน้านี้เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจำเป็นต้องล่าถอยไปในระยะปลอดภัย
วิญญาณสองส่วน ความแข็งแกร่งสองส่วน ความกล้าหาญสองส่วน ความมุ่งมั่นสอง
ส่วน และความอดทนสองส่วน นี่คือบททดสอบองค์รวมของบุคคล
หากขาดด้านใดด้านหนึ่ง หรือตราบใดที่บุคคลมีด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะก้าวออกมา
ข้างหน้าได้พวกเขาอาจทำได้ดีในเบื้องต้น
“เจ้าเด็กนี่…ยกนิ้วกลางให้คนอื่นจริงๆ นี่มันโอหังและทำเป็นเด็กๆจริงๆ แต่…ข้าชอบนะ!”
ผู้เฒ่าซูหัวเราะขณะที่ลูบเคราของเขาไปด้วย
“อาจารย์อี้หยุนก้าวผ่านอย่างกะทันหันได้อย่างไร?” หลินซินถงไม่อยากเชื่อ
“เขาก้าวผ่านภายใต้แรงกดดัน บางครั้งผู้ฝึกยุทธจะก้าวผ่านคอขวดของพวกเขาภายใต้
แรงกดดันมหาศาล ตัวอย่างเช่น เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ชีวิตคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นกับความตาย ผู้ฝึกยุทธบางคนจะก้าวผ่านขอบเขตออกมาจากปากของอันตรายนั้น นี่เป็นความสามารถอันยอดเยี่ยม โดยปกติแล้วบุคคลดังกล่าวจะมีวิญญาณมากและสามารถเอาตัวรอดได้ในเวลาที่หมดหวัง มันช่วยให้พวกเขาไปได้ไกลในอนาคต”
หลินซินถงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ผู้เฒ่าซูพูดออกมา เพราะว่าสภาพร่างกายของอี้หยุนไม่ดี
แต่จากที่มองแล้ว นอกจากสภาพร่างกายที่ไม่ดีแล้วในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการรับรู้หรือวิญญาณ เขาเติมเต็มทุกความต้องการของอัจฉริยะในวิชายุทธบุคคลเช่นนี้อาจทำลายห่วงของสภาพร่างกายที่ไม่ดีและบรรลุความยิ่งใหญ่ก็เป็นได้หลินซินถงไม่รู้ เช่นเดียวกับที่นางไม่รู้เรื่องของนาง กับความหวังที่น้อยที่สุด ที่นางอาจเชื่อมต่อเส้นลมปราณที่เสียหายได้ในอนาคต
ในขณะที่หลินซินถงกำลังคิด อี้หยุนก็ก้าวไปข้างหน้าแปดก้าวแล้ว เนื่องจากขาของ
อี้หยุนนั้นสั้น แม้ว่าจะก้าวไปถึงแปดก้าว เขาก็ยังอยู่ห่างไกลจากรัศมีสิบก้าวจากเขาสัตว์ ตอนนี้ในที่สุด เหลียนเฉิงอยู่ก็ได้มาถึงขอบเขตนั้น ที่ขอบเขตสิบก้าว แรงกดดันจะเพิ่มขึ้นอีกเหลียนเฉิงอยู่มองอย่างเย่อหยิ่งไปที่อี้หยุน เขาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วยกเท้าก้าวเข้าไป
ตูม!
เหลียนเฉิงอยู่รู้สึกถึงวิญญาณของการฆ่าที่หนาแน่นปกคลุมเขาไปทั่ว และในเสี้ยววินาทีมันก็เหมือนกับเขาอยู่ท่ามกลางทะเลเลือดของการเข่นฆ่า
ร่างกายของเหลียนเฉิงอยู่สั่นสะเทือนทันทีด้วยเสียงคำราม กระดูกของเขาเริ่มแตกและมีเสียงดัง เส้นเลือดสีเขียวปรากฏที่ลำคอ ในขณะที่เขาพยายามที่จะรับมือกับแรงกดดันของการฆ่าและความกระหายเลือดอันไม่มีที่สิ้นสุด
ปัง!
เหลียนเฉิงอยู่คุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง และพยุงตัวเองด้วยแขนทั้งสองข้าง ดวงตาแดงก่ำ
หายใจรุนแรง แก้มของเขาโป่งพองราวกับคางคกเห็นได้ชัดว่านี่คือขีดจำกัดของเขา แต่เขาก็ก้าวเข้ามาภายในขอบเขตสิบก้าวจากเขาสัตว์อสูร!
“สำเร็จแล้ว!”
เหลียนเฉิงอยู่กำหมัดแน่น แม้ว่าจะมีเลือดออกมาจากรูจมูกและร่างกายชุ่มโชกไปด้วย
เหงื่อ อยู่ในสภาพอันเลวร้ายน่าสงสาร แต่เขาก็ยังคงประสบความสำเร็จ
เขาตื่นเต้นหาที่สุดมิได้เพราะว่าเขาเข้าใกล้จุดสูงสุดของการคัดเลือกรอบนี้!
นอกจากเก้ายอดยุทธโลหิตม่วงที่ไม่ได้เข้าร่วมการคัดเลือกรอบนี้แล้ว และนอกจาก
เทาอวิ๋นเซียวกับบุคคลชั้นยอดของเผ่าเทาเพียงหยิบมือ ก็ไม่มีใครเทียบกับเหลียนเฉิงอยู่ได้
การจัดอันดับพื้นฐานในการคัดเลือกรอบนี้ หากเขาสามารถรักษามันเอาไว้ได้เขาจะผ่านการคัดเลือกของอาณาจักรได้อย่างไม่มีปัญหา!
“ดี!”
เหลียนเฉิงอยู่ต้องการจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่เขาไร้ซึ่งพลังงานเสียแล้ว จึงไม่อาจทำ
เช่นนั้นได้ทันใดนั้น เหลียนเฉิงอยู่ก็ตระหนักได้ว่าอี้หยุนได้เข้ามาถึงข้างๆเขาแล้ว
สำหรับเหลียนเฉิงอยู่ที่กำลังต้านทานต่อแรงกดดันจากการเข้าสู่ระยะสิบก้าว
อี้หยุนกลับเดินอย่างสบายมาถึงเขตระยะสิบก้าวด้วยขาสั้นๆของเขา ปากของเหลียนเฉิงอยู่มีร่องรอยของการแสดงความดูถูก
เขากำลังอยู่ภายใต้คลื่นการฆ่าอันโหดร้าย และรู้สึกถึงหวาดกลัวอย่างล้ำลึก แม้จะมี
ประสบการณ์อันไม่สิ้นสุดของการต่อสู้ที่แท้จริง เขาก็เข้าใกล้ความกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อจากเจตนาการฆ่าอันมหาศาลนี้
อี้หยุนเจ้าเด็กที่เพียงขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขา และขุดหาอาหารจากโคลนตม มันจะทนต่อคลื่นการฆ่าที่เหมือนจริงอย่างมากนี้ได้อย่างไร?
ผู้คนมากมายในโลกนี้อาจมีความสามารถ แต่แม้ว่าจะมีความสามารถ พวกเขาก็ต้อง
ฝึกฝนตนเองให้ค่อยๆปล่อยศักยภาพของพวกเขาออกมา อี้หยุนมันมีการฝึกฝนอะไรนี่ด้วยงั้นรึ?
เหลียนเฉิงอยู่คอยดูอี้หยุนประสบกับความล้มเหลว เขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากภารกิจอันเจ็บ
ปวดอย่างมาก ดังนั้นเมื่อเห็นมีคนกำลังจะทำมันอีกคน ก็เลยมีความรู้สึกดีอย่างน่าประหลาดแต่หลายครั้งที่มีสิ่งที่ไม่เป็นไปตามคาด…
เหลียนเฉิงอยู่เห็นอี้หยุนก้าวข้ามเขตระยะสิบก้าวเข้ามาด้วยขาสั้นๆและไม่ได้หยุดลง
เพียงแค่ก้าวข้ามมาเท่านั้น
ข้ามมาเท่านั้น
ข้ามเท่านั้น
ข้าม…
เหลียนเฉิงอยู่ทึ่งเป็นที่สุด สายตาของเขาจ้องมองราวกับปลาทองบั๊กอาย ในตู้ปลา
ไม่เพียงแค่เหลียนเฉิงอยู่ เทาอวิ๋นเซียวที่อยู่ไม่ห่างไกลจากตรงนั้น ก็สังเกตเห็นเหตุการณ์
นี้และตะลึงจังงังไป
นี่เป็นไปได้อย่างไร!?
ไฟล์เสียหรือถูกลบบอกด้วยนะครับ เดียวจะเเก้ให้ สวนมีความเห็นอะไรหรืออย่าดูเรื่องไรก็โพทย์บอกได้